Showing posts with label thai. Show all posts
Showing posts with label thai. Show all posts

Tuesday, March 08, 2022

ฉันมาทำอะไรที่นี่

ไม่ได้เป็นหมอ แต่ admit นักเรียนเข้า Zoom meeting

ไม่ได้ทำธุรกิจ แต่ export การบ้านคืนนักเรียนจาก Goodnotes

ไม่ได้เป็นเซล แต่ ทำยอด โดยต้องเพิ่มหน้า (ตามระเบียบ) ให้ร่างหนังสือที่ "ผู้ทรง" บอกว่า ดีแล้ว

Sunday, August 08, 2021

คำไว้อาลัย

วันนี้ฟังเทศนาหัวข้อ ทำเพื่อแม่ เลยนึกถึงสิ่งนี้ 

 28 ธันวาคม 2019 
 ขอบคุณที่ได้มีโอกาสที่จะกล่าวถึงแม่ในวันนี้ 

แม่เป็นแม่ เป็น single mom มาก่อนที่จะมีวลีนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย 

แม่เป็นครู ตลอดชีวิตการทำงาน มีได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ พยายามไปหาข้อมูลจากกรมสามัญศึกษาที่โรงเรียนของแม่สังกัดอยู่ เขาบอกว่าไม่ได้มีการบันทึกไว้ แต่สิ่งเหล่านี้พระคัมภีร์เรียกว่าเป็น “หยากเหยื่อ” ไม่ได้มีความสำคัญอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับการที่แม่ได้รู้จักพระเจ้า 

แม่เป็นผู้เชื่อ ที่มั่นใจในการทรงสถิตของพระเจ้า แม้อาจจะไม่ได้อ่านพระคัมภีร์มากเท่าใครหลายคน แต่ตอนที่แม่ป่วยและต้องอยู่ที่บ้านคนเดียวตอนกลางวัน แม่จะบอกว่า ไม่ต้องห่วงนะ พระเจ้าอยู่ด้วย แม่อธิษฐานตลอด 

แม่เป็นยาย คิดว่านี่เป็นบทบาทที่แม่อาจจะชอบที่สุด จนเรียกตัวเองว่ายายกับทุกคน 

บางคนในที่นี้เคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้วและรู้ว่ามดไม่ชอบ 
ก็แค่เรียกตัวเองว่า “แม่” กับลูก มันยากตรงไหน 
และจริง ๆ ก็มีอีกหลายอย่างที่แม่ทำและมดไม่ชอบ เช่น 
ไม่รับโทรศัพท์และไม่เคยโทรหา Missed call เป็น 10 ครั้ง ก็ไม่โทรกลับ 
ไม่ขอความช่วยเหลือจากลูก บอกว่าเกรงใจ 
แต่ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เพื่อนบ้าน พี่น้องที่โบสถ์ 

สิ่งเหล่านี้เข้าใจยาก มดไม่เข้าใจ 
แต่วันหนึ่ง ก็มาถึงจุดที่ตระหนักว่า ไม่ต้องเข้าใจ แต่ยอมรับ 
คือยอมที่พระเจ้าให้มีแม่อย่างนี้ 
ซึ่งไม่ใช่ไม่ดี แต่เป็นพระพร 

ขอแบ่งปัน 2 สิ่งที่แม่สอนมด 
สิ่งแรกคือการเสียสละ 
หลาย ๆ คนจะรู้ว่ามดชอบแมว มีแมว 6 ตัวที่บ้าน 
จริง ๆ ตั้งแต่เด็ก ๆ บ้านเราจะมีแมวมาตลอด 
แต่เพิ่งจะมารู้ภายใน 10 ปีมานี้เองว่า 
แม่ไม่ชอบความรู้สึกเวลาที่แมวมาคลอเคลีย 
เคล้าแข้งเคล้าขา มันไม่ได้น่าเอ็นดูสำหรับแม่ 
แต่แม่ก็เสียสละ เพราะลูกชอบ 

สิ่งที่สองคือ แม่สอนว่า อย่าอยากได้อะไรจากคนอื่น แล้วจะสบายใจ 
อะไรที่ว่านี้ไม่ใช่แค่สิ่งของหรือเงินทอง 
อาจเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม ข้อมูล ข่าวสาร ความรัก 
ถ้าใครรู้อะไร แล้วเขาไม่บอกเรา ก็แปลว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่เราต้องรู้ 
ถ้าใครไม่รักเรา ก็ไม่เป็นไร 
พระเจ้ายังไม่บังคับให้ใครรักพระองค์เลย 
อาจจะฟังดูเหมือนอกหัก แต่จริง ๆ ประยุกต์ได้กับความรักทุกรูปแบบ 

แล้วการที่แม่ไม่โทรศัพท์มาหา ไม่ขอความช่วยเหลือจากมด ก็ไม่เป็นไร 
เพราะพระเจ้าจัดเตรียมคุณย่าของหลานให้โทรมาบอกมดว่า แม่ผอมมาก 

เมื่อพาแม่ไปหาหมอไม่กี่ครั้ง ก็ได้รู้ว่า มีน้ำในปอดข้างซ้าย 
เป็นของเหลวซึ่งเนื้อร้ายที่เยื่อหุ้มปอดผลิตออกมา 

 มดได้คุยกับแม่ก่อนจะรู้สิ่งนี้ว่า ไม่ว่าจะเป็นอะไร พระเจ้าก็รักษานะ 

วันแรกที่หมอบอกว่าพบเนื้อร้าย หมอพูดว่าไม่หายนะคะ 
มดกับแม่คุยกันใหม่ว่า ไม่ว่าจะอย่างไร พระเจ้าก็ดูแลนะ 

จริง ๆ พูดได้เต็มปากว่า การที่แม่ป่วยเป็นพระพรหรือพระพรที่ซ่อนอยู่ 
พระเจ้าให้โอกาสได้ใช้เวลากับแม่ ได้ทำสิ่งที่ลูกควรทำ 
แม่ไม่ต้องโทรมา แต่ได้คุยกัน เพราะแม่มาอยู่ที่บ้าน 
แม่ไม่ต้องขอความช่วยเหลือ แต่ลูกได้พาไปหาหมอ 
แม่ไม่ต้องเรียกตัวเองว่าแม่ แต่มดก็เป็นลูกแม่ 

สิ่งหนึ่งที่แม่ชอบทำคือการประกาศ การบอกเรื่องราวของพระเจ้ากับผู้ที่ยังไม่รู้จักพระองค์ 
ขอบคุณพระเจ้าที่ในวาระสุดท้าย ก่อนที่ร่างของแม่จะกลับไปเป็นผงคลีดิน 
แม่ก็ยังได้ประกาศบอกบางคนในที่นี้ที่อาจจะยังไม่รู้จักพระเจ้า ให้ได้ยินเรื่องราวของพระองค์ 

สำหรับใครที่อยากจะพบแม่อีก จะเรียกว่าชาติหน้าหรืออะไรก็ตาม 
ทางเดียวคือจะต้องติดตามพระเยซู 
ถ้าสนใจข้อมูลเพิ่ม มั่นใจว่าผู้เชื่อทุกคนในที่นี้ยินดีจะแบ่งปันเรื่องนี้ 
ถามใครก็ได้ 

สำหรับผู้ที่อาจจะไม่ได้รู้จักแม่เป็นการส่วนตัว และยังไม่รู้จักพระเจ้า 
และโดยเฉพาะ ถ้ายังมีแม่อยู่ ก็อยากจะแนะนำให้ท่านและแม่ของท่านรู้จักพระเจ้าเช่นกัน 

คือเมื่อแม่จากไป ก็มั่นใจมากว่าไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว หายใจสะดวกแล้ว 
แต่มันก็ยังรู้สึกแปลก ๆ 
จะบอกความลับให้ว่า 
เวลาอยู่บ้าน ถ้าไม่ได้ทำอะไร ก็จะร้องเพลงนมัสการ ไม่ใช่แค่ในใจ แต่ออกเสียงดัง ๆ ด้วย 

ย้ำอีกครั้ง ถ้าสนใจข้อมูลเพิ่ม ถามใครก็ได้ 

สุดท้ายนี้ ขอขอบพระคุณพระเจ้าอีกครั้งสำหรับแม่ และขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านค่ะ

Saturday, June 13, 2009

Lost or Found?

เพราะว่าบุตรมนุษย์ได้มาเพื่อจะแสวงหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด (ลูกา 19: 10)

เมื่อความบาปมี 3 ด้านคือ
1. สถานะความเป็นคนบาปที่ทุกคนมีเนื่องจากเป็นลูกหลานของอาดัม
2. สภาพนิสัยหรือแนวโน้มที่จะทำบาป และ
3. การกระทำที่เป็นบาป
จึงไม่น่าแปลกใจที่ความรอดก็มี 3 ด้านเช่นกัน นั่นคือ
1. สถานะความเป็นคนชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้
2. สภาพนิสัยใหม่ที่เกิดจากการถูกเปลี่ยนแปลงภายในจากมืดเป็นสว่าง และ
3. การกระทำ ความประพฤติ หรือแนวทางการดำเนินชีวิตใหม่ที่เกิดจากกระบวนการถูกชำระให้บริสุทธิ์
อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องน่าคิดว่าในขณะที่สถานะความเป็นคนบาปทำให้เรามีสภาพนิสัยหรือแนวโน้มที่จะทำบาปซึ่งแสดงออกเป็นการกระทำที่เป็นบาปอย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าสถานะความเป็นคนชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้ผู้เชื่อทุกคนตามที่กล่าวไว้ในโรม 6: 18 ว่า “เมื่อท่านพ้นจากบาปแล้ว ท่านก็ได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรม” นั้น ไม่ได้นำไปสู่สภาพนิสัยใหม่และการกระทำ ความประพฤติ หรือแนวทางการดำเนินชีวิตใหม่อย่างชัดเจนในลักษณะเดียวกัน ผู้เชื่อซึ่งมีสถานะเป็นคนชอบธรรมดูจะยังคงมีสภาพนิสัยหรือแนวโน้มที่จะทำบาปซึ่งแสดงออกเป็นการกระทำที่เป็นบาปอยู่นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ เราควรทำอย่างไร
หากพิจารณายากอบ 2: 14 และ 24 ที่ว่า “พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่มีการกระทำ จะได้ประโยชน์อะไร ความเชื่อจะช่วยผู้นั้นให้รอดได้หรือ” และ “ผู้ใดจะเป็นคนชอบธรรมได้ก็เนื่องด้วยการกระทำและมิใช่ด้วยความเชื่อเพียงอย่างเดียว” เราต้องตระหนักว่าสิ่งที่พระคัมภีร์ต้องการเสนอไม่ใช่ว่าความรอดมาจากการกระทำของเรา แต่เป็นว่าถ้ามีความเชื่อจริง การกระทำต้องแสดงถึงความรอดนั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าไม่ใช่ว่าเราทำดีเพื่อรอดแต่เรารอดเพื่อจะดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ดังที่กล่าวไว้ในทิตัส 3: 5–8 ว่า “พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้รอด มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจบังเกิดใหม่ และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์นั้นได้ทรงประทานแก่เราทั้งหลายอย่างบริบูรณ์ โดยพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเราเพื่อว่าเมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระคุณของพระองค์ เราจะได้เป็นผู้ได้รับมรดกที่มุ่งหวังคือชีวิตนิรันดร์คำนี้เป็นคำสัตย์จริง ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านเน้นเรื่องเหล่านี้ เพื่อคนทั้งหลายที่เชื่อในพระเจ้าแล้วจะได้อุตส่าห์กระทำการดี การเหล่านี้ดีและเป็นประโยชน์แก่คนทั้งปวง” ฉะนั้นผู้ที่กล่าวว่าตนเองเชื่อในพระเจ้าจึงควร “อุตส่าห์กระทำการดี” (ทิตัส 3: 8) เมื่อพระเจ้าประทานความรอดให้แล้ว ผู้ที่กล่าวว่าตนเองเป็นผู้เชื่อต้อง “อย่าเอาเสรีภาพของท่านเป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง” (กาลาเทีย 5: 13) ทั้งนี้เพื่อดำเนินชีวิตให้เหมาะสมกับสภาพนิสัยและสถานะใหม่ของความเป็นคนชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้ เมื่อพิจารณาที่พระเยซูตรัสว่า “ถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” (ยอห์น 15: 5) และที่เปาโลกล่าว “ข้าพเจ้ากระทำทุกสิ่งได้โดยพระคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (ฟิลิปปี 4: 13) จะเห็นว่าการดำเนินชีวิตใหม่ตามสภาพนิสัยใหม่และสถานะของความเป็นคนชอบธรรมนั้นเป็นไปได้ก็ด้วยการพึ่งพาพระเจ้า ถ้าผู้เชื่อยังคง “ปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง” (กาลาเทีย 5: 13) หรือยังมีสภาพนิสัยหรือแนวโน้มที่จะทำบาปอยู่ จึงควรอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงสอนให้เราเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้ามากขึ้นเพื่อที่จะดำเนินชีวิตให้เหมาะสมกับสภาพนิสัยและสถานะใหม่ของความเป็นคนชอบธรรมของเรา

Friday, June 12, 2009

ความบาป VS บาปกรรม

เมื่อผู้ใดจะอธิษฐานต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระเจ้าในชีวิต หรืออย่างที่เรียกกันว่ารับเชื่อนั้น สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องแน่ใจนอกจากความจริงที่ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าองค์เดียวซึ่งตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่เราจากบาปก็คือการที่เราเป็นคนบาป ซึ่งโดยสาระสำคัญไม่ได้หมายความเพียงแค่ว่าเราทำผิดพระบัญญัติของพระเจ้าในข้อต่างๆ แต่รวมถึงการที่เรามีสถานะเป็นคนบาป ทั้งยังมีแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะทำบาปอีกด้วย เนื่องจากแนวคิดในเชิงศาสนาของคนไทยมักมีที่มาจากศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ ความคิดเรื่องบาปสำหรับคนไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าจึงมักเป็นไปตามแนวศาสนาพุทธซึ่งเรียก “บาป” โดยใช้คำว่า “บาปกรรม” และกรรมหมายถึงการกระทำ บาปกรรมจึงหมายถึงการกระทำที่เป็นบาปเท่านั้น
นอกเหนือจากความคิดพื้นฐานในเรื่องของบาปที่แตกต่างกันดังกล่าวข้างต้นแล้ว บาปกรรมในศาสนาพุทธและความบาปในคริสตศาสนายังมีความแตกต่างหลักอื่นๆ ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึง 3 ประการคือนิยามของบาป นิยามของคนบาป และระดับของบาป บาปในศาสนาพุทธคือสิ่งที่ทำให้จิตใจมีคุณภาพต่ำลง สิ่งที่ทำแล้วเป็นบาปเรียกว่าอกุศลกรรมบถ 10 ได้แก่ 1. ฆ่าสัตว์ 2. ลักทรัพย์ 3. ประพฤติผิดในกาม 4. พูดเท็จ 5. พูดส่อเสียด 6. พูดคำหยาบ 7. พูดเพ้อเจ้อ 8. คิดโลภมาก 9. คิดพยาบาท และ 10. มีความเห็นผิด คนบาปคือผู้ที่กระทำสิ่งเหล่านี้ ผู้ที่ไม่กระทำสิ่งเหล่านี้ถือว่าไม่บาป ดังที่มีคำกล่าวภาษาบาลีว่า “นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต” บาปย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่ทำบาป (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย) และศาสนาพุทธยังจัดบาปกรรมซึ่งมีโทษหนักที่สุด เรียกว่า “อนันตริยกรรม” ไว้ 5 ประการ คือ ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำให้สงฆ์แตกแยก ทำร้ายพระวรกายพระพุทธเจ้าให้ห้อเลือด แสดงให้เห็นว่าบาปกรรมมีระดับหนักเบาต่างๆ กันไป สำหรับความบาปในคริสตศาสนาคือการไม่เชื่อฟังพระเจ้า สภาพซึ่งเป็นผลจากการไม่เชื่อฟังพระเจ้า และการกระทำซึ่งเป็นผลจากการไม่เชื่อฟังพระเจ้า มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปเพราะเป็นลูกหลานของอาดัมซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกและไม่เชื่อฟังพระเจ้า แม้ตามคำสอนของคาทอลิกจะมีบาปที่จัดว่าร้ายแรง 7 ประการ (seven deadly sins) คือ 1. ราคะ 2. ตะกละ 3. โลภะ 4. เกียจคร้าน 5. โทสะ 6. อิจฉา และ 7. โอหัง ในคริสตศาสนา บาปไม่มีระดับมากน้อยต่างกัน ทุกบาปเป็นการทำผิดต่อพระเจ้าทั้งสิ้น แต่ก็มีการแบ่งบาปเป็น 2 ประเภทคือ บาปที่นำไปสู่ความตายและบาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตาย ดังที่ปรากฎใน 1 ยอห์น 5: 17 ว่า “การอธรรมทุกอย่างเป็นบาป แต่บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตายก็มี” และบาปที่นำไปสู่ความตายนั้นมีอยู่เพียงอย่างเดียวคือการปฏิเสธพระเจ้าตลอดไป
ในการประกาศข่าวประเสริฐ เราควรตระหนักถึงความแตกต่างเหล่านี้ระหว่างความบาปในคริสตศาสนาและบาปกรรมในศาสนาพุทธและถ่ายทอดให้ผู้ที่จะรับเชื่อได้ทราบ เพื่อให้แน่ใจว่าเขามีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะสิ่งนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องของความรอดต่อไป

Friday, November 07, 2008

Testimony

Long time no blog.
This was written on 15 April 2008 to support my application to study in the Master of Christian Studies program at Bangkok Bible Seminary. I'm now in my second semester there.

เบื้องหลังชีวิตและการกลับใจ
เมื่อปี 1993 ตอนที่เรียนปริญญาโทวิชาประวัติศาสตร์ภาษาอังกฤษ อาจารย์นำคริสตธรรมคัมภีร์ตอนต่างๆ มาให้อ่านเพื่อเปรียบเทียบลักษณะภาษาที่ต่างไปในแต่ละยุค อาจารย์บอกด้วยว่าถ้าใครอ่านคริสตธรรมคัมภีร์ทั้งเล่ม จะทราบว่าการดำเนินชีวิตที่ดีจะต้องทำอย่างไร ข้าพเจ้าเริ่มอยากอ่านตั้งแต่ตอนนั้น แต่กว่าจะได้อ่านจริงๆ ก็ปี 2003 เมื่อไปเรียนปริญญาเอกที่อังกฤษ และได้ยินเพื่อนต่างชาติซึ่งเป็นผู้เชื่อถามกันว่าไปเข้ากลุ่มเรียนพระคัมภีร์ที่ไหนบ้าง ข้าพเจ้าจึงถามว่าไม่ได้เป็นผู้เชื่อแต่สนใจ ขอไปเรียนด้วยได้ไหม จึงได้เริ่มไปเรียนและเริ่มไปโบสถ์ วันหนึ่งเข้าใจว่าการดำเนินชีวิตที่ดีคือการติดตามพระเยซู แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าต้องการเปลี่ยนศาสนาเนื่องจากยังเข้าใจผิดว่านี่คือการเปลี่ยนศาสนา แต่ก็ยังไปกลุ่มเรียนพระคัมภีร์และไปโบสถ์อยู่ ต่อมาเริ่มตระหนักว่าการดำเนินชีวิตที่ดีหรือการเป็นคนดีไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ด้วยตนเอง เพราะไม่ว่าเราจะตั้งใจทำดีอย่างไร ก็จะมีเวลาที่เราทำผิดพลาด โกรธหรือหงุดหงิด โมโหกับคนอื่น ในช่วงนั้นสิ่งหนึ่งที่เชื่ออย่างยิ่งคือการที่ตนเองเป็นคนบาป จึงคิดได้ว่าเราต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า ตอนอยู่ที่อังกฤษเคยอธิษฐานรับเชื่อในปี 2005 แต่รู้ว่าในตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่ได้เรียนรู้ที่จะรักและวางใจพระเจ้าอย่างแท้จริง สาเหตุหนึ่งคือไม่ทราบว่าการไปโบสถ์ที่ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร จึงขอให้เรียนจบ กลับมากรุงเทพฯ และเริ่มไปโบสถ์ใกล้บ้านก่อน โบสถ์แรกที่ไปเป็นโบสถ์เล็กๆ ไม่นานก็คุ้นเคยกับสมาชิกที่นั่นและแน่ใจว่าการติดตามพระเยซูเป็นทางเดินเดียวที่ถูกต้อง จึงอธิษฐานรับเชื่ออีกครั้งเมื่อเดือนเมษายน 2007

หลังจากการกลับใจ ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ข้าพเจ้ากล่าวได้ว่าสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ที่สำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งคือชีวิตที่ปราศจากความเครียดและความกังวล เดิมข้าพเจ้าเป็นคนเครียดง่าย โดยเริ่มตั้งแต่เข้าทำงานสอนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนื่องจากจะตั้งใจสอนเต็มที่ จึงอยากให้นักเรียนตั้งใจเรียนเต็มที่เช่นกัน แต่ในช่วงนั้นไม่รู้สึกว่านักเรียนเป็นอย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อข้าพเจ้าไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษและกลับมาสอนในปลายปี 1998 ข้าพเจ้าจะเข้มงวดกับนักเรียนมาก นักเรียนทุกคนในชั้นจะต้องมีส่วนร่วมในการอภิปรายในห้อง เมื่อมีนักเรียนไม่ทำอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะดุและเครียด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลร้ายให้กับตัวเอง คือนอนไม่หลับ ล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล ในช่วงที่ไปเรียนปริญญาเอก ก็เครียดมากเช่นกัน กลัวจะเรียนไม่จบ เพราะแม้จะรู้จักพระเจ้าแล้วในตอนนั้น แต่ยังไม่มีความไว้วางใจ เมื่อกลับมาอยู่ประเทศไทยและมั่นใจที่จะเดินในทางของพระเยซูแล้ว กลับไม่รู้สึกเครียดหรือกังวลใดๆ อีก เมื่อเริ่มมาสอนที่จุฬาฯ หลังจากเรียนจบ ก็ทำงานอย่างมีความสุขมาก ทีแรกคิดว่าเป็นเพราะนักเรียนตั้งใจเรียนมากขึ้น แต่มีเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ทักว่าเป็นข้าพเจ้าเองที่เปลี่ยนไปมากกว่า จึงนึกถึงที่มีคนเคยพูดว่าการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากภายในโดยพระเจ้าจะเป็นสิ่งที่ผู้อื่นมองเห็นได้ เคยอ่านพบในหนังสือเล่มหนึ่งว่า ถ้าพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในชีวิตของเรา เราจะมีแต่ความสันติสุข ในตอนนี้ ถ้ามีอะไรทำให้ข้าพเจ้าไม่สบายใจ จะคิดถึงข้อความนี้และบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรที่เราต้องไม่สบายใจ เพราะพระเจ้าทรงดูแลอยู่

การถวายตัวรับใช้พระเจ้าและเป้าหมายในอนาคต
ข้าพเจ้าเริ่มอยากเรียนพระคัมภีร์เพื่อที่จะสามารถตอบคำถามคนในครอบครัวและเพื่อนๆ ของข้าพเจ้าที่ส่วนมากยังไม่ได้เป็นผู้เชื่อซึ่งมักถามคำถามเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู พระคัมภีร์ และสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้ามีของประทานในการสอน ถ้าเป็นน้ำพระทัย ข้าพเจ้าก็อยากเป็นครูสอนพระ คัมภีร์ในอนาคตตด้วย

The English version to be posted soon.

Wednesday, September 05, 2007

ขอบคุณพระเจ้าที่แสดงความรักผ่านทางครู ...

นี่คือคำอธิษฐานของเอื้อย นักเรียนปี 3 วิชาแปล ซึ่งเครียด จนไม่ได้มาสอบย่อยครั้งที่ 3 แล้วเลยได้มาคุยกันว่า เราเป็นผู้เชื่อ เราต้องไม่เครียดสิคะ Jesus died so that we shall live ใช่ไหม เพราะฉะนั้นอย่าให้มันสูญเปล่าค่ะ คุยกันอยู่ชั่วโมงครึ่งเมื่อวันอังคาร เอื้อยบอกว่าคุยกับครู ก็หายเครียดแล้วค่ะ ก่อนไป ก็อธิษฐานกัน ดีใจมากที่ได้ยินคำอธิษฐานข้างบนนี้ค่ะ
วันอาทิตย์นี้ จะรับ baptism แล้วนะคะ
Next on: My testimony

Friday, August 24, 2007

The script

เขียนเสร็จเมื่อคืนนี้ค่ะ จะไปอัดรายการบ่ายสองวันนี้ ออกอากาศสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน ไม่รู้เหมือนกันว่าวัน เวลา อะไร

The Lost Tense
กาลที่หายไป
24 ส.ค. 2550

1. กาลคืออะไร
กาล (Tense) คือ เครื่องมือทางไวยากรณ์ที่ใช้แสดงเวลาอดีต ปัจจุบัน อนาคต
บางภาษามีกาลเช่นภาษาอังกฤษ สำหรับครูสอนภาษาอังกฤษหรือหนังสือไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแล้ว กาลที่ใช้ในการสอนจะมี 12 กาล คือ present simple, present progressive, present perfect, present perfect progressive, past simple, past progressive, past perfect, past perfect progressive, future simple, future progressive, future perfect, future perfect progressive ซึ่งแต่ละกาลจะมีรูปกริยาต่าง ๆ กันไป แต่ทางภาษาศาสตร์จะถือว่าภาษาอังกฤษมี 2 กาลคืออดีตและปัจจุบัน ส่วนอนาคตถือเป็นสิ่งที่เรียกว่าทัศนภาวะ (modality) ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงระดับความแน่ใจของผู้พูดที่มีต่อสิ่งที่พูดออกมาว่าจำเป็นต้องเกิดแน่ ๆ (necessity) หรือ อาจจะเกิด (possibility) ตัวบ่งชี้ทัศนะภาวะมีดังนี้ 1. คำกริยาช่วยที่ใช้บอกทัศนะภาวะ เช่น may, might, can, could 2. คำคุณศัพท์ เช่น possible, probable 3. คำกริยาวิเศษณ์ เช่น possibly, probably และ 4. อนุประโยค เช่น I think …
สำหรับภาษาไทย อย่างที่เราทราบกัน จะเป็นภาษาที่ไม่มีกาล คือรูปกริยาใด ๆ จะใช้บอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตก็ได้ อย่างไรก็ตามภาษาไทยมีคำทางไวยากรณ์ที่แม้แต่เจ้าของภาษาไทยเองก็อาจคิดว่าเป็นคำซึ่งบอกเวลา หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยโดยทั่วไปมักระบุว่าคำอย่างเช่น ได้ เคย แล้ว เพิ่ง บอกอดีตกาล กำลัง อยู่ บอกปัจจุบันกาล และจะ บอกอนาคต

2. กาลหายไปไหน
ชื่อเรื่องที่ว่า กาลที่หายไป จะหมายความว่า จริง ๆ แล้ว เครื่องมือทางไวยากรณ์ที่ใช้แสดงเวลาทั้งในภาษาที่มีกาลและภาษาที่ไม่มีกาลทั้งหมดเป็นตัวบ่งชี้ทัศนะภาวะ (modality marker) ไม่ได้หมายความว่าไม่มีกาล (tense) เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องสอนนักเรียนเรื่องการใช้ tense ต่าง ๆ กันแล้ว พูดให้ชัดขึ้นก็คือมี present simple, past simeple, future simple หรืออะไรต่ออะไรที่กล่าวไว้ข้างต้น ในภาษาไทยก็มี ได้ เคย แล้ว เพิ่ง กำลัง อยู่ และจะ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่กาล (tense) คือไม่ได้บอกเวลาอดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่เป็นตัวบ่งชี้ทัศนะภาวะ (modality marker) คือบอกความแน่ใจของผู้พูดว่าเหตุการณ์ที่พูดถึงอยู่จำเป็นต้องเกิดขึ้นแน่ ๆ หรือแค่อาจเป็นไปได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า กาล (tense) ไม่ได้หายไปไหนหรอก เพียงแต่ว่ากาลไม่ได้บอกเวลาอดีต ปัจจุบัน อนาคต อย่างที่เราอาจจะเคยเรียนมาตอนเด็ก ๆ แต่บอกความคิดของผู้พูดว่าเหตุการณ์ที่พูดถึงเป็นไปได้หรือไม่

3. ทราบได้อย่างไรว่ากาลไม่ได้บอกอดีต ปัจจุบัน และอนาคต (ดำเนินการวิจัยอย่างไร)
เนื่องจากนักภาษาศาสตร์จะศึกษาข้อมูลที่เป็นการใช้ภาษาจริง ๆ ของเจ้าของภาษาเท่านั้น จึงเริ่มต้นจากการเก็บข้อมูลเบื้องต้นโดยบันทึกเทปบทสนทนาของนักเรียนปริญญาเอก 4 คนในช่วงเวลาอาหารเย็น โดย 3 คนจะถามอีก 1 คนว่าทำก่อนหน้าวันนั้นทำอะไรบ้าง วันนั้นทำอะไรบ้าง และเมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว จะทำอะไรต่อ หลังจากนั้นนำมาถอดเทป เพื่อดูความหมายและความถี่ของคำต่าง ๆ ที่หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยเรียกว่าเป็นคำที่บอกกาลในภาษาไทย คำที่พบคือ ได้ เคย แล้ว มา ไว้ อยู่ จะ และไป อีก 2 คำที่หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยก็ระบุว่าเป็นคำบอกเวลาอดีต และปัจจุบัน คือ เพิ่งและกำลัง ไม่พบในบทสนทนานี้
หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยโดยทั่วไปจะระบุว่า ได้ เคย แล้ว มา ไว้ เป็นคำบอกอดีตกาล อยู่ เป็นคำบอกปัจจุบันกาล และ จะ เป็นคำบอกอนาคตกาล แต่เมื่อพิจารณาการเกิดของคำที่หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยเรียกว่าเป็นคำที่บอกกาลเหล่านี้ จะพบว่าที่จริง คำเหล่านี้ไม่ได้บอกอดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคต เหตุผลสำคัญประการแรกคือ แต่ละคำสามารถเกิดในประโยคที่บรรยายเหตุการณ์ที่มีกาลไม่ตรงกับสิ่งที่หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยระบุไว้ด้วย เช่น

(1) ได้อยู่ห้องบิสิเนสคลาสที่ไม่ได้จอง (อดีต)
(2) ยังไม่ได้จองเลย (ปัจจุบัน)
(3) พยายามจะออนไลน์แต่ออนไลน์ไม่ได้ (อดีต)
(4) ตั๋วเปลี่ยนได้หรือ (ปัจจุบัน)
(5) ไปวัดที่เคยบวชหรือเปล่า (อดีต)
(6) เขาจะมีลิสต์ไว้เลยว่าใครเคยทำอะไรมาบ้าง (ปัจจุบัน)
(7) อ้อนับไปแล้ว (อดีต)
(8) มันก็จะมีแค่นี้อยู่แล้ว (ปัจจุบัน)
(9) ร่างเป็นเอสเสก่อนแล้วจะเป็นแชปเตอร์ (อนาคต)
(10) เป็นงานโปรเจคต์ที่ซุปไปรับมาจากข้างนอกแล้วเราทีเอี่ยวด้วย (ปัจจุบัน)
(11) ขอคอลเลจได้ไม่ถึง 100 ปอนด์ เราเก็บไว้เลย เอาไว้ทำโปสเตอร์ (ปัจจุบัน)
(12) คุยกันเรื่องงานที่ยังค้างอยู่ (ปัจจุบัน)
(13) อยู่เหมือนกับเป็นคอมมอนรูม แล้วก็เลยนั่งอยู่ตรงนั้น (อดีต)
(14) ที่บอกว่ายังคิดอยู่ (อดีต)
(15) เดือนหน้าเราจะไม่อยู่ ไปอเมริกา กะว่าจะไปเดนเวอร์ด้วย (อนาคต)
(16) เขาบอกว่าเขากลับเมืองไทย เขาจะไปวัด (อดีต)
(17) เราจะนัดเจอกัน ก็ไม่รู้จะไปที่ไหนดี (อดีต)
(18) ไปอุ่นโจ๊ก ทำกับข้าวให้มันกิน (อดีต)
(19) เดี๋ยวเสร็จแล้ว จะกลับไปทำงานต่อ (อนาคต)

ข้อสรุปจากข้อมูลเบื้องต้นนี้คือคำต่าง ๆ ที่หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยเรียกว่าเป็นคำที่บอกกาลในภาษาไทยไม่น่าจะเป็นตัวบ่งชี้กาล เนื่องจากสามารถเกิดได้ในประโยคที่บรรยายเหตุการณ์ที่มีกาลไม่ตรงเวลาที่หนังสือไวยากรณ์ระบุไว้
ต่อมาเก็บข้อมูลเพิ่ม ทั้งจากบทสนทนา บทความจากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และนวนิยาย คือทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน โดยเลือกศึกษา 5 คำโดยละเอียด คือคำว่า ได้ เคย กำลัง อยู่ จะ เนื่องจากเป็นคำที่มีความถี่สูงที่สุดในข้อมูลเบื้องต้น และครอบคลุมเวลาอดีต (ได้ เคย) ปัจจุบัน (กำลัง อยู่) และ อนาคต (จะ) ตามที่หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยระบุไว้ เมื่อศึกษาความหมายของ 5 คำนี้จากตัวอย่างต่าง ๆ ในข้อมูลพบว่า ได้ แสดงทัศนะภาวะแบบบอกความสามารถ (dynamic modality)

(20) เกรมลินได้จับงู (อดีต)
(21) เกรมลินจับงูได้ (อดีต หรือ ปัจจุบัน)

เคย แสดงกาลลักษณะ (aspect) แบบบอกประสบการณ์ (experiential perfect)

(22) เกรมลินเคยจับงู (อดีต)
(23) เกรมลินไม่เคยจับงู (ปัจจุบัน)

กำลัง และ อยู่ แสดงกาลลักษณะ (aspect) แบบกำลังดำเนินอยู่ (progressive)

(24) เกรมลินกำลังจับงูอยู่ (ปัจจุบัน หรือ อดีต)
ส่วน จะ แสดงทัศนะภาวะแบบบอกความเป็นไปได้เชิงความรู้ (epistemic possibility)

(25) เกรมลินจะจับงู (อนาคต หรือ อดีต)

ประโยคตัวอย่างแต่ละประโยคนี้สามารถใช้บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตก็ได้ แล้วแต่กรณี อีกเหตุผลหนึ่งที่แสดงว่า ได้ เคย กำลัง อยู่ และจะ ไม่ได้บอกเวลา คือ คำเหล่านี้สามารถเกิดร่วมกันได้ในประโยคเดียวกัน แต่เรารู้ว่า กาล (tense) เกิดร่วมกันไม่ได้ ประโยคภาษาอังกฤษแต่ละประโยคมีเพียงกาลเดียวเท่านั้น ตัวอย่างประโยคที่ “คำบอกเวลา” สามารถเกิดร่วมกันได้ เช่น

(26) เกรมลินเคยจับงูได้ (ปัจจุบัน)
(27) เกรมลินกำลังจะจับงู (ปัจจุบัน หรือ อดีต)
(28) เกรมลินจะจับงูได้ (อนาคต หรือ อดีต)

ทฤษฎีที่นำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์นี้คือ อรรถศาสตร์ปริยาย (default semantics) ซึ่งกล่าวว่าประโยคใด ๆ ที่ผู้พูดคนหนึ่ง ๆ สื่อสารออกมาจะมีความหมายโดยปริยาย ซึ่งอาจไม่ใช่ความหมายตามตัวอักษร แต่เป็นความหมายที่ผู้ฟังจะรับรู้ได้ก่อนความหมายอื่นซึ่งเป็นความหมายตามตัวอักษรเสียอีก ตัวอย่างเช่น แม่พูด (29) กับลูกอาย 4 ขวบ ที่ทำมีดบาดนิ้วตัวเอง แล้วร้องไห้ไม่ยอมหยุด แม่ไม่ได้หมายความว่าลูกจะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่ตายตลอดไป ซึ่งนั่นคือความหมายตามตัวอักษร แต่ความหมายโดยปริยายของ (29) คือ (30) แม้คำว่า มีดบาด ไม่ได้กล่าวออกมาแต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของความหมายโดยปริยาย

(29) หยุดร้องไห้เถอะ แค่นี้ ไม่ตายหรอก
(30) หยุดร้องไห้เถอะ มีดบาดแค่นี้ ไม่ตายหรอก

เมื่อนำอรรถศาสตร์ปริยายมาอธิบายความหมายของ ได้ เคย กำลัง อยู่ และ จะ จะกล่าวได้ว่า ความหมายโดยปริยายของ ได้ และ เคย คือ อดีตกาล ความหมายโดยปริยายของ กำลัง และ อยู่ คือ ปัจจุบันกาล และ ความหมายโดยปริยายของ จะ คือ อนาคตกาล ทั้งนี้เป็นผลสรุปจากแบบสอบถาม ซึ่งขอให้เจ้าของภาษาไทย 20 คนระบุว่าประโยคต่าง ๆ ซึ่งมีได้ เคย กำลัง อยู่ และ จะ เป็นส่วนประกอบมีความหมายเป็นกาลใด ปรากฏว่าทั้ง 20 คนตอบว่าประโยคซึ่งมี เคย เป็นอดีตกาล ประโยคซึ่งมี กำลัง และ อยู่ เป็นปัจจุบันกาล ประโยคซึ่งมี จะ เป็นอนาคตกาล ส่วน ได้ นั้น 18 คน ตอบว่าเป็นอดีตกาล แต่ 2 คนตอบว่าเป็นปัจจุบันกาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความหมายอ้างอิงเชิงเวลาไม่ใช่ความหมายตามตัวอักษร แต่เป็นความหมายเชิงวัจนะปฏิบัติศาสตร์ (pragmatic)
มาถึงจุดนี้ขอสรุปว่า คำไวยากรณ์ที่หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยระบุว่าเป็นตัวบ่งชี้กาลนั้น ที่จริง ไม่ได้มีกาล คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นส่วนหนึ่งของความหมายตามตัวอักษร แต่ความหมายอ้างอิงเชิงเวลานี้เป็นเพียงความหมายปริยาย ซึ่งบางครั้งอาจไม่เกิดขึ้น นี่คือสาเหตุที่ ยกตัวอย่างเช่น ได้ ซึ่งปกติจะมีความหมายปริยายเป็นอดีต สามารถเกิดในประโยคที่ใช้บรรยายเหตุการณ์ในปัจจุบันได้
งานวิจัยนี้เกี่ยวข้องกับภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาที่ไม่มีกาล เป็นหลัก แต่ก็อ้างด้วยว่าการวิเคราะห์ว่าเครื่องมือทางไวยากรณ์ที่ใช้แสดงเวลา อดีต ปัจจุบัน อนาคต ในภาษาที่มีกาลเช่นภาษาอังกฤษ ว่าเป็นตัวบ่งชี้ทัศนะภาวะ (modality) หรือ สิ่งที่บอกความแน่ใจของผู้พูดว่าเหตุการณ์ที่พูดถึงอยู่จำเป็นต้องเกิดขึ้นแน่ ๆ หรือแค่อาจเป็นไปได้ ก็ทำได้เช่นกัน เมื่อกำหนดว่าทัศนะภาวะ (modality) มีลำดับชั้น ตั้งแต่ เหตุการณ์ที่พูดถึงไม่เกิดขึ้นแน่ ๆ ไปจนถึง อาจเกิดขึ้น และ เกิดขึ้นแน่ ๆ เราอาจกล่าวได้ว่า ตัวอย่างประโยค (31), (32) และ (33) แสดงความแน่ใจของผู้พูดลดหลั่นกันไป คือ (31) แสดงระดับความแน่ใจของผู้พูดสูงที่สุด รองลงมาคือ (32) และสุดท้ายคือ (33)

(31) Mary goes to the opera tomorrow night. (tenseless future)
(32) Mary is going to the opera tomorrow night. (futurative progressive)
(33) Mary will go to the opera tomorrow night. (future will)

ตัวอย่างประโยค (34), (35) และ (36) ก็เช่นกัน คือ (34) แสดงระดับความแน่ใจของผู้พูดสูงที่สุด รองลงมาคือ (35) และสุดท้ายคือ (36)

(34) Tom went to London. (simple past)
(35) Tom would have gone to London. (epistemic necessity past)
(36) Tom may have gone to London. (epistemic possibility past)

สรุปได้ว่า กาลในภาษาอังกฤษ ก็มีลักษณะความเป็นตัวบ่งชี้ทัศนะภาวะ (modality) อยู่เช่นกัน เพราะฉะนั้น อาจกล่าวได้ว่า กาล (tense) นั้นหายไป ทั้งในภาษาที่มีกาลอย่างภาษาอังกฤษ และภาษาที่ไม่มีกาลอย่างภาษาไทย

4. เหตุที่สนใจทำวิจัยเรื่องนี้
เนื่องจากสอนภาษาอังกฤษมาหลายปีและพบว่าปัญหาสำคัญของนักเรียนไทยคือระบบกาล (tense) ในภาษาอังกฤษ แรกเเริ่มเดิมทีคิดว่าความยากนี้เป็นเพราะภาษาไทยไม่มีกาล แต่ภาษาอังกฤษมีกาล ซึ่งอาจทำให้เจ้าของภาษาไทยและเจ้าของภาษาอังกฤษมีความคิดแตกต่างกันในเรื่องเวลา โดยเจ้าของภาษาไทยอาจจะคิดว่าเวลาไม่มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต เพราะภาษาไทยไม่มีเครื่องมือทางไวยากรณ์ที่ใช้ระบุเวลาอดีต ปัจจุบัน อนาคต ในขณะที่เจ้าของภาษาอังกฤษจะคิดว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต จะมีเส้นแบ่งชัดเจน เมื่อจะพูดถึงเหตุการณ์ใดจะต้องใช้กาลกำกับทุกครั้งว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต
แต่เมื่อดำเนินการวิจัยแล้ว พบว่าจริง ๆ แล้ว ดูเหมือนว่า ทั้งเจ้าของภาษาไทยและเจ้าของภาษาอังกฤษน่าจะมีความคิดเกี่ยวกับเวลาไม่แตกต่างกัน โดยไม่ได้คิดว่าเวลา คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่คิดว่ามันคือ ความจำเป็น และ ความเป็นไปได้

5. มีข้อเสนอแนะสำหรับผู้ที่สนใจเรียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษอย่างไร
ที่จริงต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า สิ่งที่นักภาษาศาสตร์ศึกษาไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในเชิงการสอนหรือการเรียนภาษา แต่เป็นไปเพื่อการอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในภาษาใด ๆ เพื่อให้เราสามารถเข้าใจตัวเราเอง ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่มีภาษาใช้ในการสื่อสารที่ซับซ้อนเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้อาจช่วยผู้ที่สนใจเรียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้บ้าง กล่าวคือ ผู้ที่เรียนภาษาไทย โดยเฉพาะที่เป็นเจ้าของภาษาอังกฤษ หรือภาษาที่มีกาลอื่น ๆ ควรตระหนักว่า คำพวก ได้ เคย กำลัง อยู่ และ จะ ไม่ใช่คำแสดงกาล (tense) ในภาษาไทย และคำกริยาในภาษาไทยไม่ต้องมีคำบ่งชี้กาลกำกับ เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ใช้คำเหล่านี้ฟุ่มเฟือยจนพูดไม่เป็นธรรมชาติในภาษาไทย ถ้าใครเคยได้พูดคุยกับคนอังกฤษหรืออเมริกันที่เพิ่งเริ่มเรียนพูดภาษาไทยได้บ้าง อาจจะเคยสังเกตว่า เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต เขาจะใช้ ได้ กำกับคำกริยาทุกครั้ง ทำให้สิ่งที่เขาพูดฟังดูแปลก ๆ ครั้งหนึ่งเคยโทรศัพท์ไปหาเพื่อนคนไทยที่มีเพื่อนร่วมห้องทำงานเป็นคนอเมริกันในตอนเย็น และได้รับคำตอบจากคนอเมริกันนี้ว่า “เขาได้ปิดไฟในห้องทำงานแล้ว เขาได้กลับบ้านแล้ว” ซึ่งก็ฟังเข้าใจแต่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติในภาษาไทย
ส่วนเจ้าของภาษาไทยที่เรียนภาษาอังกฤษควรจะตระหนักในทางกลับกันว่า คำกริยาในภาษาอังกฤษต้องมีกาล (tense) กำกับ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือระบบกาลที่ซับซ้อนในภาษาอังกฤษอาจอธิบายให้ง่ายขึ้นได้ โดยใช้แนวคิดที่ว่าจริง ๆ แล้ว ไม่มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่เป็นความจำเป็น และ ความเป็นไปได้
เป็นที่น่าสังเกตว่าเครื่องมือทางไวยากรณ์ที่ใช้บอกกาล (tense) ในภาษาอังกฤษอาจมีการใช้ที่ไม่ตรงกับรูป ตัวอย่างเช่นข้อ (37)–(40) ข้างล่างนี้ ข้อ (37) เป็นการใช้รูปอดีตกาลเพื่อถามอย่างสุภาพกับคนแปลกหน้าที่อยู่ในลิฟต์เดียวกันในขณะพูด (เวลาปัจจุบัน) อีกนัยหนึ่งคือ รูปอดีตกาลอาจใช้แสดงทัศนะภาวะในการถามหรือขอร้องอย่างสุภาพหรือลังเล

(37) Which floor did you want?

ในข้อ (38) ปัจจุบันกาลถูกใช้บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดแล้วในอดีต เรียกว่าเป็นปัจจุบันกาลเชิงประวัติ (historical present) ซึ่งน่าจะมีทัศนะภาวะหรือระดับความแน่ใจของผู้พูดสูงเท่า ๆ กับเมื่อใช้รูปอดีตกาล

(38) I’m sitting on the verandah when up comes Joe and says …

ข้อ (39) เป็นการใช้รูปปัจจุบันกาลเพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งแสดงระดับความแน่ใจของผู้พูดสูงที่สุดในบรรดารูปกริยาต่าง ๆ ที่ใช้บอกเล่าเหตุการณ์ในอนาคตได้ ดังกล่าวแล้วข้างต้น

(39) Mary goes to the opera tomorrow night.

ส่วนในข้อ (40) ‘will’ ซึ่งอาจบอกเวลาอนาคตกลับปรากฏในประโยคที่บอกเวลาปัจจุบัน เป็นตัวอย่างการใช้ ‘will’ เพื่อแสดงทัศนะภาวะชนิดความจำเป็นเชิงความรู้ (epistemic necessity)อย่างชัดเจน โดยผู้พูดมีความแน่ใจสูงว่าเหตุการณ์ดังกล่าวกำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน

(40) Mary will be in the opera now.

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงอยากให้มีการเสนอการสอนเครื่องมือทางไวยากรณ์ที่ใช้บอกกาลแนวใหม่โดยอาจมองว่าสิ่งที่เรียกว่าเป็นเครื่องมือทางไวยากรณ์ที่ใช้บอกกาลนั้นจริง ๆ แล้วไม่ได้บอกกาล คืออดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่เป็นตัวบ่งชี้ทัศนะภาวะ (modality) ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจศึกษาต่อไป

Friday, August 10, 2007

The Lost Tense

That's the title of my second show on Radio Chula, to be recorded within this month, to be on air the first week of next month.
Will be back with more details, the script, etc.

กาลที่หายไป
ชื่อรายการที่จะพูดที่วิทยุจุฬาค่ะ ตั้งชื่อเสียเก๋ไก๋ จริง ๆ ก็พูดเรื่องวิทยานิพนธ์นั่นแหละค่ะ ทำมาตั้งหลายปี ต้องใช้ให้คุ้ม เขียนสคริปต์เสร็จเมื่อไร จะนำมาโพสต์นะคะ

Saturday, July 21, 2007

ประทับใจ

เช้าวานนี้ เมื่อเวลาประมาณ 9:30 น. เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์โทรศัพท์มาแจ้งว่า เช้าพรุ่งนี้ (คือวันนี้) จะไปส่งหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ เวลา 6-7 น. เมื่อเขาไปกดออด กรุณาตื่นลงมารับหนังสือด้วย
ด้วยความที่เป็นคนเลอะเลือนเรื่องเวลาอยู่เสมอ จึงตอบเขาไปว่า ช่วยมาก่อน 6 โมงได้ไหมคะ เพราะมักจะออกจากบ้านไปทำงานเวลา 6 โมง (ลืมไปว่ามันเป็นวันเสาร์ค่ะ)
เขาตอบว่า ไม่ได้ครับ เขาสั่งมาให้ส่ง 6-7 น. พร้อมกันทั่วโลก
ได้ยินเช่นนั้นแล้ว รู้สึกว่ากำลังเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ค่ะ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นวันเสาร์นี่นา ไม่ต้องรีบออกจากบ้าน
ตอนนี้ได้รับหนังสือมาแล้ว อ่านไปแต่ปกในกับปกหลัง เฝ้าแต่นึกว่า Sirius Black จะกลับมาไหม

Monday, July 09, 2007

วันนี้มีคนบอกรัก (อีกแล้ว)

สอน Syntax 10-12 น. ตามประสาวันจันทร์ มีเรื่องสืบเนื่องจากคราวที่แล้ว ซึ่งทำสนธิสัญญากันว่าถ้ามีใครไม่ทำการบ้านมา ครูจะไม่สอน เพราะการสอนไม่ใช่การบอกคำตอบ ถ้าไม่ได้ทำการบ้านตามที่มอบหมายไป ทำให้สอนไม่ได้ ก็จะไม่สอน
มีแก้วเสนอให้แปรญัตติว่า น่าจะสอนคนที่ทำมา พวกที่ไม่ทำก็เชิญออกจากห้องไป ทีแรกก็เห็นชอบ แต่คิดไปคิดมา ไม่ดีกว่า เพราะเท่ากับสอนให้ถือคติ "ตัวใครตัวมัน" ฉันอยากให้นักเรียนรักเพื่อนมนุษย์และมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่มากกว่า เลยไปเล่าให้ฟังพร้อมกับบอกว่า เวลาทำการบ้านอยู่ให้รู้ว่าเราไม่ใช่แค่กำลังทำเพื่อตัวเอง แต่กำลังทำเพื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนอื่น ๆ ที่ก็ต้องทำการบ้านมาเหมือนกัน และทำเพื่อครูด้วย เพื่อครูจะได้ทำหน้าที่สอนได้เต็มที่
เมื่อพูดแล้ว เห็นอลิสา แอล หน้าเป็นสีชพู (ทีีจริงเห็นตั้งแต่เช้า ตอนที่ช่วยถือของแล้วแต่ไม่ได้ทัก) เลยทักว่า อลิสากำลังมีความรักหรือคะ หน้าเลยเป็นสีชมพู อลิสาตอบว่า "ทามาค่ะ และกำลังมีความรักด้วย รักครูค่ะ" :-)

Saturday, April 07, 2007

to be on air


อาจารย์ภาวรรณ (ซึ่งจะเกษียณปีนี้) ชวนไปออกรายการวิทยุค่ะ ให้พูดเกี่ยวกับจุฬาฯและเคมบริดจ์ ในหัวข้อที่ว่า "ความเหมือน ความแตกต่าง การประยุกต์ใช้" จะไปอัดเทปบ่ายวันพุธที่จะถึงนี้นะคะ (หลังจากประชุม BBA)

สนุกหละค่ะทีนี้ เรื่องหนึ่งที่อยากพูดคือการที่อยู่ ๆ ภาควิชาของดิฉันก็อยากเปิดวิชาทำนอง English for Profession หรือ English for Tourism ขึ้นมา ต้องการจะเน้น practical subjects ไม่ใช่ academic stuff แล้ว ทั้ง ๆ ที่เราไม่ใช่ vocational school นะคะ ลองไปดู Vice-Chancellor ของ Cambridge (เป็นผู้หญิงเรียนที่ Newnham เหมือนดิฉันค่ะ ;-) พูดข้างล่างนี้นะคะ

ฉันรู้สึกว่าเราต้องเน้น academic stuff ค่ะ เรียนจบอักษรฯ เอกภาษาอังกฤษ ต้องรู้ภาษาอังกฤษดีกว่าคนจบคณะอื่นที่ใช้ภาษาอังกฤษได้สิคะ (เดี๋ยวนี้ ดูเหมือนใคร ๆ ก็เก่ง ๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ อย่างเช่นเด็กบัญชีอินเตอร์ที่สอนอยู่นะคะ ชมเสียหน่อย เผื่อว่าจะมาอ่านค่ะ) ระบบเสียง โครงสร้างคำ โครงสร้างประโยค ประวัติความเป็นมาของภาษาอังกฤษ Old English, Middle English, Modern English ควรรู้ให้หมด ถ้าจะสอนแต่เน้นทักษะ เปิดโรงเรียนกวดวิชากันดีกว่าค่ะ


Notes: CAM = Cambridge Alumni Magazine, AR = Alison Richard (University of Cambridge Vice-Chancellor)

CAM: Will the fact that undergraduates are now paying £3,000 a year for tuition change Cambridge?
AR: I anticipate that students and their families will certainly be paying more attention to the quality of their educational experience, and that’s no bad thing. But it won’t reshape the fundamentals of what we do. We’re not in the business of fact-cramming or vocational training. We’re educating students to think for themselves and to think critically.
CAM: So we won’t see courses in Golf Course Management?
AR: Universities do different things, and some focus more on practical skills. Cambridge operates across a broader spectrum and emphasises the value of learning for its own sake as a way of training the mind. How that education is conceived and delivered remains primarily in the hands of our academics – and I must say that the seriousness with which they take this responsibility is truly impressive, even inspiring.
CAM: What you’re saying is effectively parallel to the advice given to prospective students about A-levels on the university website? That Cambridge isn’t disparaging practical subjects, but what it does is the academic stuff.
AR: That’s exactly right. Cambridge is academically rigorous and it’s better that students know that well in advance if they aspire to study here.

อ่านเต็ม ๆ ได้ที่นี่ (หรือที่หน้าห้องทำงานดิฉัน พริ้นท์ไปติดไว้แล้วค่ะ)

Tuesday, March 13, 2007

ภาพเก่า ๆ


เหตุเกิดจากขวัญซึ่งเคยเจอกันเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วที่ภูกระดึงมาเยี่ยมพร้อมกับถือรูปคู่และรูปหมู่ที่ผาหล่มสักมาด้วย ทำให้กลับไปดูรูปสมัยที่ยังไม่มีกล้องดิจิตอล สวย ๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ

อีกเหตุหนึ่งคือมีงานแต่ไม่อยากทำก็เลยทำโน่นทำนี่เล่นไปเรื่อยค่ะ

Sunday, March 11, 2007

ใครรู้บ้าง

1. Frame drum และ secular nationalism แปลเป็นไทยได้ว่าอะไรคะ
2. ทำไมฉันต้องเข้ามาทำงานวันอาทิตย์ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมด้วยคะ
3. เมื่อวันศุกร์ โกอินเตอร์มาแล้วค่ะ แต่เด็กบัญชีอินเตอร์ที่ไปสอนมาพูดแต่ภาษาไทยกันทั้งห้องเลย ทำไมก็ไม่รู้
4. สัปดาห์ที่จะถึงนี้ แน่นมากค่ะ จันทร์ อังคารเช้า ทำงานแปลต่อ (ซึ่งคงไม่เสร็จทันกำหนดอีกตามเคย) อังคารบ่าย ทำคะแนน พุธเช้าบ่าย อบรม electronic texts พุธบ่าย ประชุมเรื่องสอนวันศุกร์ พฤหัสเช้า ศุกร์เช้า คุมสอบเข้าปริญญาโทของภาค พฤหัสบ่าย เตรียมสอน ศุกร์บ่าย สอน
ปัญหาคือฉันจะแยกร่างอย่างไรสำหรับพุธบ่ายค่ะ

Wednesday, February 28, 2007

I just love to complain

มด: อาทิตย์หน้าต้องสอนแล้วเนี่ย (คิดในใจ: ยังไม่ได้เตรียมตัวเลย)
ป้อม: เป็นครูก็ต้องสอนหนังสือสิ จะมาบ่นทำไม ยายเบ๊อะ
มด: นั่นสินะ เป็นครูจะให้ไปพบลูกค้า bank ได้ยังไงเนอะ

ที่ไม่ได้เตรียมสอน เพราะวุ่นอยู่กับการอ่านงานแปล 53 หน้าค่ะ พูดดีๆ ได้ว่าเป็นบรรณาธิการต้นฉบับ เรื่องเกี่ยวกับระบบการบริหารจัดการของบริษัทผลิตคอมเพรสเซอร์ในเยอรมัน (ซึ่งดิฉันเชี่ยวชาญตั้งแต่เมื่อไรคะ)

งานยุ่งที่นี่มี 2 แบบคือแบบสนุกกับแบบไม่ไหวแล้ว ส่วนงานก็แบ่งเป็น 2 แบบคืองานที่ต้องทำ (จงก้มหน้าทำไป) กับงานที่เลือกปฏิเสธได้ (หาได้ยากค่ะ หลายปีมาแล้วเคยปฏิเสธงานจัด remedial course ในช่วง summer โดยให้เหตุผลว่าจะ revise course material ของวิชาอะไรสักอย่าง ปรากฎว่า 2 อาทิตย์ให้หลังก็ถูกเรียกไปมอบหมายงานเดิม ไม่รู้ว่าหาคนอื่นไม่ได้ หรือลืมว่าเราเคยปฏิเสธไปแล้ว ก็เลยต้องรับทำค่ะ)

งานอ่านที่ทำอยู่เป็นแบบไม่สนุกและเลือกปฏิเสธได้แต่ไม่ได้ปฏิเสธค่ะ ทำไปก็ต้องบ่นไป กำหนดส่งวันนี้ แต่ขอเลื่อนส่งไปเรียบร้อยแล้วค่ะ

Monday, February 19, 2007

dead link

ถ้าใครคลิ๊กที่รายชื่ออาจารย์ภาควิชาภาษาอังกฤษ จะพบว่าดิฉันเป็นลิงค์ตายอยู่คนเดียวนะคะ เพราะว่าเขาทำเวปนี้กันตอนฉันไม่อยู่น่ะสิ วันนี้จึงปลีกเวลาโม้ประวัติตัวเองเป็นภาษาไทยและอังกฤษไว้ดังนี้ แล้วมันจะไปปรากฏที่นั่นพร้อมกับรูปทางซ้ายมือนี้ เร็วๆนี้ค่ะ





Name and academic title
Assistant Professor Jiranthara Srioutai, PhD
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. จิรันธรา ศรีอุทัย
Office
1120 Boromrajakumari Building
1120 อาคารบรมราชกุมารี
Phone
02 218-4718
Email
jiranthara.s@chula.ac.th
Webpage
http://pioneer.netserv.chula.ac.th/~sjiranth/

Education
B.A. (first class honors), English, Thammasat University
Grad. Dip., English - Thai Translation, Thammasat University
M.A., English, Chulalongkorn University
M.Phil., Linguistics, University of Cambridge
Ph.D., Linguistics, University of Cambridge

ศิลปศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ประกาศนียบัตรบัณฑิตทางการแปลภาษาอังกฤษและภาษาไทย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อักษรศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาบัณฑิตสาขาวิชาภาษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาภาษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์

Areas of interest
Semantics and Pragmatics
Translation

อรรถศาสตร์และวัจนปฏิบัติศาสตร์
การแปล

Subjects taught
Undergraduate Courses
English Reading
English Composition
English Integrated Skills
English – Thai and Thai – English Translation
Introduction to English Morphology and Syntax

Graduate Courses
English – Thai Translation

ระดับปริญญาตรี
การอ่านภาษาอังกฤษ
การเขียนภาษาอังกฤษ
ทักษะประสมภาษาอังกฤษ
การแปลอังกฤษ – ไทย และไทย – อังกฤษ

ระดับปริญญาโท
การแปลอังกฤษ – ไทย

Academic work/ publications

Srioutai, Jiranthara. (2006) Conceptualisation of Time in Thai with Special Reference to D1ay1II, Kh3oe:y, K1aml3ng, Y3u:I and C1a. PhD thesis. University of Cambridge.

Journal articles
Srioutai, Jiranthara. (forthcoming) "A Case Study of Differences in 'Thinking for Speaking' about Past Eventualities in Thai and English" Manusya: Journal of Humanities.
Srioutai, Jiranthara. (2005) "The (non-) progressive in Thai" In: Faye Chalcraft and Efthymios Sipetzis (eds.) Cambridge Occasional Papers in Linguistics, Vol. 2, University of Cambridge.
Srioutai, Jiranthara. (2004) "The Thai c1a: A Marker of Tense or Modality?" In: E. Daskalaski et. al. (ed.) Second CamLing Proceedings, University of Cambridge.
Srioutai, Jiranthara. (2001) "Viewing and Teaching the English Articles Semantically" Faculty of Arts Journal. July - December 2001.
Srioutai, Jiranthara. (2000) "An Application of Semantic Primes to Dictionary Definitions: SOMEONE and SOMETHING in Thai" Thoughts 2000.
Srioutai, Jiranthara. (1999) "The Effects of Context and Grammar on the Phonetic Properties of Speech" Thoughts 1999.

Course Materials
Crabtree, Michael and Jiranthara Srioutai. (2001) 2202209 English Composition.
Srioutai, Jiranthara et. al. (2001) 220219 English Reading.
Srioutai, Jiranthara. (1999) 2202122 Basic Translation 2. Srioutai, Jiranthara et. al. (1999) 2202219 English Reading.
Srioutai, Jiranthara and Nattama Pongpairoj. (1998) 2202219 English Reading.

Translations
Schwartz, Morrie. (2005) Morie: In His Own Words. (Jiranthara Srioutai, Trans.). Bangkok: Se-Education. Original work published 1996.
Waugh, Daisy. (2004) The New You Survival Kit. (Jiranthara Srioutai, Trans.). Bangkok: Nation Book. Original work published 2002.
Waugh, Daisy. (2004) Ten Steps to Happiness. (Jiranthara Srioutai, Trans.). Bangkok: Nation Book. Original work published 2003.

Work in progress
“Semantic Representation of Expressions with Past-time
Reference: Evidence from English-Thai and Thai-English Translation”
โครงการเสนอขอทุนพัฒนาอาจารย์ใหม่/นักวิจัยใหม่ กองทุนรัชดาภิเษกสมโภช
“รูปแทนทางอรรถศาสตร์ของข้อความเฉพาะที่ให้ความหมายอ้างอิงเชิงอดีตกาล: หลักฐานจากการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยและภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ”


เคยได้ยิน Linguistics Olimpics ไหมคะ ถ้าสนใจคลิ๊กที่นี่เลยค่ะ

Friday, February 16, 2007

Satuk soil

เมื่อวานนี้มีนัดค่ะ เลยไม่ได้มาเขียน
ในที่สุดก็รู้ว่า "ดินสตึก" = "Satuk soil" มันเป็นชื่ออำเภอหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ค่ะ