Saturday, June 13, 2009

Lost or Found?

เพราะว่าบุตรมนุษย์ได้มาเพื่อจะแสวงหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด (ลูกา 19: 10)

เมื่อความบาปมี 3 ด้านคือ
1. สถานะความเป็นคนบาปที่ทุกคนมีเนื่องจากเป็นลูกหลานของอาดัม
2. สภาพนิสัยหรือแนวโน้มที่จะทำบาป และ
3. การกระทำที่เป็นบาป
จึงไม่น่าแปลกใจที่ความรอดก็มี 3 ด้านเช่นกัน นั่นคือ
1. สถานะความเป็นคนชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้
2. สภาพนิสัยใหม่ที่เกิดจากการถูกเปลี่ยนแปลงภายในจากมืดเป็นสว่าง และ
3. การกระทำ ความประพฤติ หรือแนวทางการดำเนินชีวิตใหม่ที่เกิดจากกระบวนการถูกชำระให้บริสุทธิ์
อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องน่าคิดว่าในขณะที่สถานะความเป็นคนบาปทำให้เรามีสภาพนิสัยหรือแนวโน้มที่จะทำบาปซึ่งแสดงออกเป็นการกระทำที่เป็นบาปอย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าสถานะความเป็นคนชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้ผู้เชื่อทุกคนตามที่กล่าวไว้ในโรม 6: 18 ว่า “เมื่อท่านพ้นจากบาปแล้ว ท่านก็ได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรม” นั้น ไม่ได้นำไปสู่สภาพนิสัยใหม่และการกระทำ ความประพฤติ หรือแนวทางการดำเนินชีวิตใหม่อย่างชัดเจนในลักษณะเดียวกัน ผู้เชื่อซึ่งมีสถานะเป็นคนชอบธรรมดูจะยังคงมีสภาพนิสัยหรือแนวโน้มที่จะทำบาปซึ่งแสดงออกเป็นการกระทำที่เป็นบาปอยู่นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ เราควรทำอย่างไร
หากพิจารณายากอบ 2: 14 และ 24 ที่ว่า “พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่มีการกระทำ จะได้ประโยชน์อะไร ความเชื่อจะช่วยผู้นั้นให้รอดได้หรือ” และ “ผู้ใดจะเป็นคนชอบธรรมได้ก็เนื่องด้วยการกระทำและมิใช่ด้วยความเชื่อเพียงอย่างเดียว” เราต้องตระหนักว่าสิ่งที่พระคัมภีร์ต้องการเสนอไม่ใช่ว่าความรอดมาจากการกระทำของเรา แต่เป็นว่าถ้ามีความเชื่อจริง การกระทำต้องแสดงถึงความรอดนั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าไม่ใช่ว่าเราทำดีเพื่อรอดแต่เรารอดเพื่อจะดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ดังที่กล่าวไว้ในทิตัส 3: 5–8 ว่า “พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้รอด มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจบังเกิดใหม่ และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์นั้นได้ทรงประทานแก่เราทั้งหลายอย่างบริบูรณ์ โดยพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเราเพื่อว่าเมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระคุณของพระองค์ เราจะได้เป็นผู้ได้รับมรดกที่มุ่งหวังคือชีวิตนิรันดร์คำนี้เป็นคำสัตย์จริง ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านเน้นเรื่องเหล่านี้ เพื่อคนทั้งหลายที่เชื่อในพระเจ้าแล้วจะได้อุตส่าห์กระทำการดี การเหล่านี้ดีและเป็นประโยชน์แก่คนทั้งปวง” ฉะนั้นผู้ที่กล่าวว่าตนเองเชื่อในพระเจ้าจึงควร “อุตส่าห์กระทำการดี” (ทิตัส 3: 8) เมื่อพระเจ้าประทานความรอดให้แล้ว ผู้ที่กล่าวว่าตนเองเป็นผู้เชื่อต้อง “อย่าเอาเสรีภาพของท่านเป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง” (กาลาเทีย 5: 13) ทั้งนี้เพื่อดำเนินชีวิตให้เหมาะสมกับสภาพนิสัยและสถานะใหม่ของความเป็นคนชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้ เมื่อพิจารณาที่พระเยซูตรัสว่า “ถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” (ยอห์น 15: 5) และที่เปาโลกล่าว “ข้าพเจ้ากระทำทุกสิ่งได้โดยพระคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (ฟิลิปปี 4: 13) จะเห็นว่าการดำเนินชีวิตใหม่ตามสภาพนิสัยใหม่และสถานะของความเป็นคนชอบธรรมนั้นเป็นไปได้ก็ด้วยการพึ่งพาพระเจ้า ถ้าผู้เชื่อยังคง “ปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง” (กาลาเทีย 5: 13) หรือยังมีสภาพนิสัยหรือแนวโน้มที่จะทำบาปอยู่ จึงควรอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงสอนให้เราเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้ามากขึ้นเพื่อที่จะดำเนินชีวิตให้เหมาะสมกับสภาพนิสัยและสถานะใหม่ของความเป็นคนชอบธรรมของเรา

No comments: