Showing posts with label projects. Show all posts
Showing posts with label projects. Show all posts

Saturday, July 31, 2021

Baby draft

It has been emailed to an honorary reader, with all the loopholes and everything. Absolutely exhausted!

Sunday, July 25, 2021

This week

It's the last week of my sabbatical year. My plan was to publish a new post every day, perhaps every week, or at least every month. As it has happened, my previous post was in September 2020 and I'm now writing the first post in 2021! I'm still working on the critical section in the book, which I've taken leave for. The new semester starts on the 9th.

Tuesday, September 01, 2020

non-progress report

My first so-called sabbattical month was officially done. I'm grateful that a progress report is due every three months rather than monthly.

Monday, November 30, 2009

Thoughts 2010

Call for papers

Thoughts 2010 welcomes articles on various topics in the areas of literature, language, and translation, in both English and Thai.

Prospective contributors should send 2 copies of their papers of about 10-20 pages in length (including abstracts) to the editor, typed in single space on A4 paper.

The font used for English papers should be Times New Roman 12 and that for Thai papers should be Cordia New 16.

References should conform to the requirements of the Modern Language Association of America (MLA).


All papers will be subject to review by two scholars.
The deadline for submitting the first draft for the 2010 issue is December 30, 2009.

Further inquiries please contact:

Assistant Professor Jiranthara Srioutai, PhD
Editor of the 2010 issue
Department of English, Faculty of Arts
Chulalongkorn University

Tel. 02-2184707
Email: jiranthara.s@chula.ac.th

Thursday, July 23, 2009

บทนำ

จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน
มัทธิว 7:7

เมื่อไม่นานมานี้ พี่น้องคริสเตียนคนไทยคนหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าได้ไปเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนแห่งหนึ่ง เพราะก่อนหน้านั้นได้อธิษฐานขอบางอย่างไว้ โดยกล่าวไว้ด้วยว่าหากพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน จะไปเลี้ยงอาหารเด็กๆ ที่นั่น และต่อมาเมื่อได้สิ่งที่อธิษฐานขอไว้ จึงไปเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนแห่งนั้น ข้าพเจ้าเข้าใจว่าการทำเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นไปตามที่ปรากฏในพระคริสตธรรมคัมภีร์ การอธิษฐานลักษณะนี้ศจ. จักรพันธ์ ชูเกียรติวงศ์กุล เรียกว่า “การอธิษฐานต่อรอง” และกล่าวว่าเป็นสิ่งไม่ควรทำ
ในรายงานฉบับนี้ ข้าพเจ้าสนับสนุนว่า “การอธิษฐานต่อรอง” เป็นสิ่งไม่ควรทำ และเสนอว่าเมื่อเราอธิษฐานขอสิ่งต่างๆ จากพระเจ้านั้น ไม่ใช่เป็นการบนบานศาลกล่าว เราจึงไม่ควรสัญญาว่าเมื่อพระเจ้าตอบคำอธิษฐานแล้วเราจะทำอะไรเป็นการตอบแทน สิ่งที่จะเขียนต่อไปนี้แบ่งออกเป็น 4 บท กล่าวคือ การบนบานศาลกล่าวและการแก้บนในสังคมไทย การอธิษฐานในคริสตศาสนา บทอภิปราย และบทสรุป ในบทแรก ข้าพเจ้าอภิปรายเกี่ยวกับการบนบานศาลกล่าวและการแก้บนอย่างที่ปฏิบัติกันอยู่ในสังคมไทย ในบทที่ 2 ข้าพเจ้าศึกษาถึงการอธิษฐานขอสิ่งต่างๆ ตามที่ปรากฏในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ในบทที่ 3 ข้าพเจ้ากล่าวถึงสาเหตุต่างๆ ที่การอธิษฐานในคริสตศาสนาแตกต่างจากการอธิษฐานในพุทธศาสนาและไม่ใช่การบนบานศาลกล่าวอย่างที่ปฏิบัติกันอยู่ในสังคมไทย และในบทสุดท้าย ข้าพเจ้าสรุปว่าการอธิษฐานไม่ใช่การบนบานศาลกล่าว

การบนบานศาลกล่าวและการแก้บนในสังคมไทย

เสฐียรโกเศศ เล่าว่าเมื่อพ.ศ. 2494 ได้ไปเห็นศาลเทพารักษ์แห่งหนึ่งที่จังหวัดสุโขทัยมีมะพร้าวห้าวผลเล็กผลใหญ่ติดทองคำเปลวแขวนไว้ตามชายคา เมื่อถามดู ปรากฏว่าเป็นการแก้บนจากที่บนบานไว้ว่าถ้าได้ตามที่ขอ จะแก้บนเป็นทองคำเท่าลูกมะพร้าว ส่วนหนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 27 สิงหาคม 2008 คอลัมภ์ “ว่าที่ผู้ว่า กทม. บน ... อะไร ที่ไหน อย่างไร” รายงานว่าผู้สมัครลงเลือกตั้งตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพมหานครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน นายพิจิตต รัตตกุล นายวรัญชัย โชคชนะ นายมานะ มหาสุวีระชัย รวมไปถึงนางลีนา จังจรรยา และนางปวีณา หงสกุล ต่างก็ไปสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายแห่ง อาทิ วัดพระแก้วมรกต ศาลหลักเมือง และวัดชนะสงคราม โดยกล่าวว่าเพื่อให้เป็นสิริมงคลกับตัวเอง โดยเฉพาะนางปวีณา หงสกุลกล่าวว่า หากชนะการเลือกตั้ง อาจจะต้องใช้เวลาเดินสายแก้บนเป็นเดือน เพราะได้บนไว้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก สองเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าการบนบานศาลกล่าวอยู่คู่กับสังคมไทยมาช้าแล้วและน่าจะยังดำเนินต่อไปแม้กระทั่งในคนระดับผู้นำ เสฐียรโกเศศ ยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่าวิธีการแก้บนอาจเป็นการเลี่ยงคำสัญญาว่าจะถวายสิ่งที่ไม่อาจถวายได้ (คือทองคำเท่าลูกมะพร้าว)โดยใช้อุบาย (คือมะพร้าวห้าวติดทองคำเปลว)
ในหนังสือ “สิ่งที่ชาวพุทธควรรู้” อโณทัย เขตต์บรรพต กล่าวว่าการบนบานศาลกล่าวเป็นการขอจากพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ วิญญาณต่างๆ สิ่งที่ขอมีหลากหลาย อาจเป็นสิ่งของ การงาน คนหาย ไปจนถึงโชคลาภ ความร่ำรวย และเมื่อได้สิ่งที่ขอ หรือ “บน” ไว้ ก็ต้องแก้บน ณภัค พยากรณ์ แนะนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาจจะไปบนศาลศาลกล่าวได้ไว้ในเวบไซต์หนึ่ง โดยระบุไว้ด้วยว่าเรื่องที่ควร “บน” กับแต่ละที่คืออะไร และควรแก้บนอย่างไร ในที่นี้ขอยก 7 ตัวอย่างจากเวบไซต์ดังกล่าวในตารางข้างล่างนี้

ตารางที่ 1 ตัวอย่างสิ่งศักดิ์สิทธ์และการบนบานศาลกล่าว
เรื่องที่บน วิธีบน วิธีแก้บน
พระเจ้าตากสิน
วงเวียนใหญ่
การเรียน การงาน การค้าขาย หนี้สินจากการค้าขาย ใช้ธูป 16 ดอก พวงมาลัยดาวเรือง หรือมะลิและดาวเรือง (หากขอพรให้ใช้ธูป 9 ดอก) ตามคำกล่าว หรือถวายอาหาร
พระตรีมูรติ
ความรัก เทียนแดง 1 เล่ม ธูปแดง 9 ดอก ในช่วง 09.30–21.30 น.
ตามคำกล่าว หรือ
น้ำผลไม้ กุหลาบแดง พวงมาลัยกุหลาบ
รูปปั้นช้าง
พระพรหมเอราวัณ
การงาน การเรียน จุดธูป 12 ดอก ไหว้ทั้ง 4 หน้า ตามคำกล่าว หรือรำแก้บน
วัดหลวงพ่อโสธร
การมีบุตร โชคลาภ จุดธูป 16 ดอก และพวงมาลัย ตามคำกล่าว ถวายละคร หรืออาหาร
ศาลเจ้าพ่อเสือ
การค้าขาย วาสนาบารมี ธูป 18 ดอก ปัก 6 กระถาง เทียนแดง 1 คู่ มาลัย 1 พวง หรือถวายเงินเติมน้ำมันนตะเกียง ตามคำกล่าว
ศาลย่านาค
วัดมหาบุศย์
โชคลาภ ความรัก การเกณฑ์ทหาร จุดธูป 9 ดอก ตามคำกล่าว หรือถวายผ้าถุง พวงมาลัย ของเล่นเด็ก
ศาลหลักเมือง
ความมั่นคงในหน้าที่การงาน ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัวผ้า แพร 3 สี ถวายพวงมาลัย หรือผูกผ้า 3 สี

อย่างไรก็ตาม อโณทัย เขตต์บรรพต กล่าวว่าการขอโดยการบนบานศาลกล่าวไม่ใช่หลักทางพุทธศาสนา โดยให้เหตุผลว่าในพุทธศาสนามีวิธีอื่นที่ทำให้ “สมความปรารถนา” ได้ดีกว่าการ “บน” และกล่าวต่อไปว่านั่นคือ “การอธิษฐาน” อันได้แก่ การขออย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีเนื่องจากมีบุญกุศลเป็นสิ่งรองรับ อโณทัย เขตต์บรรพต เปรียบเทียบการบนบานศาลกล่าวและการอธิษฐานในพุทธศาสนาไว้โดยมีสาระสำคัญดังแสดงในตารางที่ 2 นี้

ตารางที่ 2 การบนบานศาลกล่าวและการอธิษฐานในพุทธศาสนา
คำจำกัดความ สิ่งที่ขอ โอกาส “ได้”
การบนบานศาลกล่าว การขออะไร ที่ใดก็ได้ ขอได้อย่างไม่จำกัด แม้เมื่อมีปัญหาเล็กน้อย เรื่องใดก็ได้ทั้งดีและไม่ดี น้อย เมื่อได้แล้วต้องชดใช้ หรือแก้บน
การอธิษฐานใน
พุทธศาสนา การขออย่างมีหลักการ ศักดิ์ศรีและจุดประสงค์ที่เด่นชัด เมื่อมีความจำเป็นในเวลาวิกฤต เรื่องที่ดี มาก เนื่องจากมีบุญกุศลที่ทำมาแล้วเป็นปัจจัยเกื้อหนุน เมื่อได้แล้วไม่ต้องชดใช้ หรือแก้บน

นอกจากนี้อโณทัย เขตต์บรรพต ยังได้ให้แนวทางการอธิษฐานไว้คือ ตั้งใจเป็นสมาธิหรือมีสติแล้วอธิษฐานว่า “ด้วยบุญกุศลทั้งหลายทั้งปวงที่ข้าพเจ้าได้เคยทำมาแล้วในอดีต กำลังทำในปัจจุบัน และที่จะทำต่อไปในอนาคตขอให้เป็นพลว (อ่านว่า พะ-ละ-วะ) ปัจจัยให้ ... (ให้กล่าวเรื่องที่ต้องการขอ)”
หลังจากบทนี้กล่าวถึงการบนบานศาลกล่าว การแก้บน รวมไปถึงการอธิษฐานในพุทธศาสนาแล้ว ในบทต่อไปข้าพเจ้าจะกล่าวถึงการอธิษฐานในคริสตศาสนาในแง่ที่เป็นการขอสิ่งต่างๆ ตามที่ปรากฏในพระคริสตธรรมคัมภีร์

การอธิษฐานในคริสตศาสนา

การอธิษฐานในคริสตศาสนานั้นไม่ใช่เป็นเพียงสิทธิพิเศษของผู้เชื่อในการสนทนากับพระเจ้า แต่ยังเป็นหน้าที่อีกด้วย เมื่อพิจารณาข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ในมาระโก 1: 35 ที่ว่า “ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว และทรงอธิษฐานที่นั่น” และในลูกา 6: 12 ที่ว่า “ต่อมาคราวนั้นพระองค์เสด็จไปที่ภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน และได้อธิษฐานต่อพระเจ้าคืนยังรุ่ง” จะเห็นว่าสำหรับพระเยซู การอธิษฐานสำคัญกว่าการนอนหลับพักผ่อน ส่วนกิจการ 6: 4 “ฝ่ายพวกเราจะขะมักเขม้นอธิษฐานและสั่งสอนพระวจนะเสมอไป” แสดงให้เห็นว่าอัครสาวกทั้ง 12 คนจัดลำดับให้การอธิษฐานมาก่อนการเทศนา จากข้อคิดเห็นของ J. Robert Ashcroft เมื่อผู้เชื่ออธิษฐาน สิ่งที่ควรปฏิบัติคือระลึกถึงพระเจ้า มีท่าทีที่ถูกต้องต่อพระเจ้า ฟังพระสุรเสียง ใช้พระวจนะในคำอธิษฐาน อธิษฐานเผื่อผู้อื่น ร่วมใจอธิษฐานกับผู้เชื่ออื่น และขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยในการอธิษฐาน
ในลูกา 11: 2–4 เมื่อสาวกขอให้พระองค์สอนเรื่องการอธิษฐาน พระเยซูตรัสดังนี้

เมื่อท่านอธิษฐานจงว่า “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จในสวรรค์อย่างไร ก็ให้สำเร็จบนแผ่นดินโลกเหมือนกันอย่างนั้น ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายทุกๆ วันขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ทั้งหลาย ด้วยว่าข้าพระองค์ยกความผิดของทุกคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น ขออย่าทรงนำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้ข้าพระองค์พ้นจากความชั่วร้าย”

เห็นได้ว่าคำอธิษฐานนี้ประกอบด้วยคำขอทั้งหมด 7 ข้อ แบ่งได้เป็น 2 ตอน กล่าวคือตอนแรกข้อ 1–3 เป็นคำขอสำหรับพระสิริ ดังนี้
1. ขอให้พระนามของพระเจ้าเป็นที่เคารพสักการะ
2. ขอให้อาณาจักรของพระเจ้ามาตั้งอยู่
3. ขอให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก

และตอนที่สอง ข้อ 4–7 เป็นคำขอสำหรับผู้อธิษฐานเอง ดังนี้
4. ขอประทานอาหารประจำวันแก่ผู้อธิษฐาน
5. ขอทรงยกโทษบาปแก่ผู้อธิษฐานซึ่งได้ยกความผิดของทุกคนที่ทำผิดต่อตนแล้ว
6. ขออย่าทรงนำผู้อธิษฐานเข้าไปในการทดลอง
7. ขอให้ผู้อธิษฐานพ้นจากความชั่วร้าย

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ต่างๆ เหล่านี้คือ มัทธิว 6: 8 “สิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว” ยากอบ 4: 2–3 “ที่ท่านไม่มีเพราะท่านไม่ได้ขอ ท่านขอและไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองราคะตัณหาของท่าน” และโรม 8: 26 “พระวิญญาณก็ทรงช่วยเราเมื่อเราอ่อนกำลังด้วยเช่นกัน เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใดอย่างไร แต่พระวิญญาณเองทรงช่วยขอเพื่อเราด้วยความคร่ำครวญซึ่งเหลือที่ จะพูดได้” อาจแบ่งสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ออกได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้

ก. สิ่งที่พระเจ้าประทานให้โดยที่ไม่ต้องอธิษฐานขอก็ได้ (มัทธิว 6: 8)
ข. สิ่งที่พระเจ้าประทานให้เฉพาะเมื่อมีการอธิษฐานขอ (ยากอบ 4: 2)
ค. สิ่งที่พระเจ้าไม่ประทานให้แม้มีการอธิษฐานขอ (ยากอบ 4: 3)
ง. สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอธิษฐานขอให้ เมื่อเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่ง
ใด อย่างไร (โรม 8: 26)

และเมื่อกลับไปพิจารณาคำอธิษฐานขอในลูกา 11: 2–4 เป็นไปได้ว่าคำขอตอนแรกข้อ 1–3 ซึ่งเป็นคำขอสำหรับพระสิริน่าจะอยู่ในประเภท ก. เนื่องจากจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วไม่ว่ามีการอธิษฐานขอหรือไม่ ส่วนคำขอตอนที่สอง ข้อ 4–7 ซึ่งเป็นคำขอสำหรับผู้อธิษฐานเองนั้น ข้อ 4 น่าจะอยู่ในประเภท ก. คือพระเจ้าจะประทานให้โดยที่ไม่ต้องอธิษฐานขอก็ได้เช่นกัน ในขณะที่ข้อ 5 น่าจะอยู่ในประเภท ข. คือ พระเจ้าประทานให้เฉพาะเมื่อมีการอธิษฐานขอเท่านั้นและยังมีเงื่อนไขว่าผู้อธิษฐานยังต้อง “ยกความผิดของทุกคนที่ทำผิดต่อ” ผู้อธิษฐานเองก่อนด้วย ซึ่งเป็นสิ่งน่าสนใจที่จะกล่าวถึงต่อไปในบทที่ 5 ข้างล่างนี้ สำหรับข้อ 6 และข้อ 7 น่าจะอยู่ในประเภท ค. คือเป็นสิ่งที่พระเจ้าอาจไม่ประทานให้ตามคำอธิษฐาน เนื่องจากอย่างที่ทราบกันดีว่าในบางครั้งพระเจ้าอนุญาตให้มีการทดลองเกิดขึ้นและผู้เชื่ออาจต้องเผชิญความชั่วร้าย เพื่อการเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อคนนั้นตามที่ปรากฏในยากอบ 1: 2–4 ว่า “พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายตกอยู่ในการทดลองต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีทั้งสิ้นเพราะท่านทั้งหลายรู้ว่าการทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความเพียร และจงให้ความเพียรนั้นกระทำการจนสำเร็จ เพื่อท่านทั้งหลายจะสมบูรณ์ครบถ้วนไม่ขาดสิ่งใดเลย” และตามที่ปรากฏในยอห์น 9: 3 ว่า “ ... เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา” ซึ่งก็คือเพื่อการถวายเกียรติแด่พระเจ้า ส่วนประเภท ง. สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอธิษฐานขอให้นั้นน่าจะครอบคลุมคำอธิษฐานขอทุกข้อในลูกา 11: 2–4
ในบทต่อไปของรายงานฉบับนี้ ข้าพเจ้าเปรียบเทียบการบนบานศาลกล่าว การอธิษฐานในพุทธศาสนา และการอธิษฐานในคริสตศาสนา พร้อมทั้งกล่าวถึงสาเหตุต่างๆ ที่การอธิษฐานในคริสตศาสนาไม่ใช่การบนบานศาลกล่าวอย่างที่ปฏิบัติกันอยู่ในสังคมไทย

บทอภิปราย

Alex G. Smith แสดงข้อคิดเห็นว่าอุปสรรคหนึ่งในการประกาศข่าวประเสริฐของ พระเยซูคริสต์ในประเทศไทยคือการที่คนไทยส่วนใหญ่ถึง 94 % ยึดมั่นในพุทธศาสนา ซึ่งส่งผลให้วัฒนธรรมไทยเกี่ยวพันกับพุทธศาสนาแบบที่แยกกันแทบไม่ได้ ภาษาไทยเต็มไปด้วยคำศัพท์ที่มาจากพุทธศาสนา อาทิ เมตตา กรุณา และการคิดของคนไทยก็มักมีพื้นฐานมาจากแนวคิดในพุทธศาสนาเหล่านี้จนถึงขนาดพูดกันว่าถ้าเป็นคนไทยก็ต้องนับถือศาสนาพุทธ Eunice Burden กล่าวเช่นกันว่าคติของพุทธศาสนาที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ทำให้เป็นเรื่องยากที่คนไทยจะต้องการพึ่งพาพระเจ้า
อย่างไรก็ตามถ้าพิจารณาว่าการบนบานศาลกล่าวและการแก้บนอยู่คู่สังคมไทยมาช้านาน ทั้งๆ ที่อย่างที่กล่าวแล้วในบทที่ 2 ว่าการบนบานศาลกล่าวไม่ใช่หลักทางพุทธศาสนา และการบนบานศาลกล่าวยังอาจนับเป็นการแสดงออกซึ่งตรงข้ามกับคติของพุทธศาสนาที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” น่าจะกล่าวได้ว่าอุปสรรคหนึ่งของคริสตศาสนาในประเทศไทยอาจไม่ใช่พุทธศาสนาแต่เป็นสิ่งที่คนไทยคิดกันไปว่าเป็นสิ่งที่ชาวพุทธควรถือปฏิบัติ และบางสิ่งในบรรดาสิ่งเหล่านี้อาจยังมามีผลกับคริสตชนชาวไทยบางคนอีกด้วย อย่างเช่นเรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าถึงในบทนำ คือการปฏิบัติราวกับว่าการอธิษฐานกับพระเจ้าเป็นการบนบานศาลกล่าวและต้องแก้บนเมื่อพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน
สิ่งที่จะเขียนต่อไปในบทนี้เป็นการเปรียบเทียบการบนบานศาลกล่าว การอธิษฐานในพุทธศาสนา และการอธิษฐานในคริสตศาสนา ในแง่ต่างๆ คือ สิ่งศักดิ์สิทธ์ที่บนบานศาลกล่าวหรืออธิษฐานด้วย วิธีและเวลาในการบนบานศาลกล่าวหรืออธิษฐาน เรื่องที่บนบานศาลกล่าวหรืออธิษฐาน โอกาสได้รับตามคำบนบานศาลกล่าวหรือคำอธิษฐาน และสิ่งที่ต้องปฏิบัติเมื่อคำบนบานศาลกล่าวหรือคำอธิษฐานสัมฤทธิ์ผล พร้อมทั้งกล่าวถึงสาเหตุต่างๆ ที่การอธิษฐานในคริสตศาสนาไม่ใช่การบนบานศาลกล่าวอย่างที่ปฏิบัติกันอยู่ในสังคมไทย
4.1 สิ่งศักดิ์สิทธ์ที่เกี่ยวข้อง
การบนบานศาลกล่าวนั้น จากตารางที่ 1 ในหน้า 3 จะเห็นว่าทำได้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายรูปแบบ ตั้งแต่เจ้าพ่อ เจ้าแม่ วิญญาณต่างๆ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไปจนถึงพระพุทธรูปแม้ว่ามีผู้กล่าวว่าการบนบานศาลกล่าวไม่ใช่หลักทางพุทธศาสนา ก็ตาม
การอธิษฐานในพุทธศาสนา ไม่ปรากฏชัดว่าเป็นการอธิษฐานกับสิ่งใด แต่เน้นการมีจิตใจที่แน่วแน่มั่นคงในขณะอธิษฐาน ซึ่งถือเป็นมโนกรรม คือ กรรมที่ทำสำเร็จด้วยใจคิดดี และเมื่อคิดดี คนจะพูดดีและทำดีตามไปด้วย สิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาในชีวิต
ส่วนการอธิษฐานในคริสตศาสนาเป็นการอธิษฐานกับพระเจ้าในนามพระเยซูคริสต์ ดังที่พระเยซูตรัสไว้ว่า “ถ้าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะทรงประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน” (ยอห์น 16: 23)
4.2 วิธี สถานที่และเวลา
การบนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในตารางที่ 1 หน้า 3 นั้น มีการกล่าวไว้ชัดเจนว่าต้องใช้สิ่งใดบ้าง ไม่ว่าจะเป็นธูป เทียน จำนวนและสีตามที่ระบุ พวงมาลัยดอกไม้ชนิดต่างๆ ผ้าแพร หรือเงินถวายค่าน้ำมันตะเกียง สถานที่น่าจะเป็นที่ๆ สิ่งศักดิ์สิทธ์เหล่านั้นประดิษฐสถานอยู่ ส่วนเวลาไม่ได้ระบุไว้ยกเว้นสำหรับพระตรีมูรติ ซึ่งเป็นในช่วง 09.30–21.30 น. สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ น่าจะเป็นเวลาซึ่งสถานที่เหล่านั้นเปิดให้คนเข้าไปสักการะได้
การอธิษฐานในพุทธศาสนา ดังที่กล่าวแล้วว่าอโณทัย เขตต์บรรพต ได้ให้แนวทางการอธิษฐานไว้คือ ตั้งใจเป็นสมาธิหรือมีสติแล้วอธิษฐานว่า “ด้วยบุญกุศลทั้งหลายทั้งปวงที่ข้าพเจ้าได้เคยทำมาแล้วในอดีต กำลังทำในปัจจุบัน และที่จะทำต่อไปในอนาคตขอให้เป็นพลว (อ่านว่า พะ-ละ-วะ) ปัจจัยให้ ... (ให้กล่าวเรื่องที่ต้องการขอ)” โดยไม่ได้ระบุไว้ว่าให้ทำ ณ สถานที่ใด แต่ระบุว่าทำได้เมื่อมีความจำเป็นในเวลาวิกฤตเท่านั้น
ส่วนการอธิษฐานในคริสตศาสนานั้น พระเยซูสอนว่า “คนทั้งหลายควรอธิษฐานอยู่เสมอ” (ลูกา 18: 1) และเปาโลกล่าวไว้ใน 1 ทิโมธี 2: 8 ว่า “ข้าพเจ้าปรารถนาให้ผู้ชายทั้งหลายอธิษฐานในที่ทุกแห่ง” แต่พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ได้ระบุถึงวิธีหนึ่งวิธีใดอย่างเฉพาะเจาะจง แต่เรื่องสำคัญคือจิตใจ ซึ่งน่าจะมีท่าทีของการวิงวอนและการขอบพระคุณ (ดูฟิลิปปี 4: 6)
4.3 เรื่องที่ขอ
การบนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เป็นการขออะไรก็ได้ เรื่องใดก็ได้ทั้งดีและไม่ดี และจากตารางที่ 1 ในหน้า 3 มีการกล่าวไว้ชัดเจนว่าต้องบนบานศาลกล่าวเรื่องใดกับสิ่งศักดิ์สิทธ์องค์ไหน เห็นได้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์เชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆ แตกต่างกัน การอธิษฐานในพุทธศาสนา อโณทัย เขตต์บรรพต กล่าวไว้ว่าต้องเป็นการขอในเรื่องที่ดีในเวลาจำเป็นเท่านั้น ซึ่งเข้าใจได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดีตามหลักพุทธศาสนา
ส่วนการอธิษฐานในคริสตศาสนานั้น เปาโลกล่าวไว้ในฟิลิปปี 4: 6 ว่า “จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า” ไม่ได้จำกัดว่าเฉพาะเรื่องการเรียน การงาน ความรักเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้นเหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในตารางที่ 1 หน้า 3 จะเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานได้ในทุกๆ เรื่อง และในฐานะคริสเตียน เรารู้ว่าควรอธิษฐานขอในสิ่งที่สอดคล้องกับพระคริสตธรรมคัมภีร์เท่านั้น
4.4 โอกาสได้รับตามคำขอ
การบนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ นั้น ดังที่ได้กล่าวแล้วในบทที่ 2 ว่ามีโอกาสได้ตามคำบนบานศาลกล่าวเพียง “ไม่กี่เปอร์เซ็นต์” สำหรับโอกาสที่จะได้รับตามคำอธิษฐานในพุทธศาสนา อโณทัย เขตต์บรรพต ระบุว่า “มากเนื่องจากมีบุญกุศลที่ทำมาแล้วเป็นปัจจัยเกื้อหนุน”
ส่วนการอธิษฐานในคริสตศาสนานั้น เมื่อพิจารณาจากมัธทิว 7: 8–11:

... ทุกคนที่ขอก็ได้รับ คนที่แสวงหาก็พบ และคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตร เมื่อเขาขอขนมปังหรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนชั่วยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอจากพระองค์

และยากอบ 4: 2–3 ที่ว่า “ที่ท่านไม่มีเพราะท่านไม่ได้ขอ ท่านขอและไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองราคะตัณหาของท่าน” จะเห็นว่ามีโอกาสที่จะได้รับตามคำอธิษฐาน 100 % ทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสิ่งที่ขอเป็น “ของดี” (มัธทิว 7: 11) แต่ถ้าขอ “เพื่อสนองราคะตัณหา” (ยากอบ 4: 3) ก็จะไม่ได้
4.5 สิ่งที่ต้องปฏิบัติเมื่อคำขอสัมฤทธิ์ผล
เมื่อบนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ แล้วได้ตามคำขอต้องแก้บน จากตารางที่ 1 ในหน้า 3 มีการกล่าวไว้ชัดเจนว่าต้องแก้บนอย่างไรกับสิ่งศักดิ์สิทธ์องค์ไหน เห็นได้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์ชอบของแก้บนต่างๆ แตกต่างกันไป สำหรับการอธิษฐานในพุทธศาสนา เมื่อได้ตามคำอธิษฐานแล้ว ไม่ต้องชดใช้ เนื่องจากถือว่าที่ได้มาเพราะบุญกุศลเดิม
ส่วนการอธิษฐานในคริสตศาสนานั้น เมื่อพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ไม่ต้องชดใช้เช่นกัน แต่ไม่ใช่เนื่องจากถือว่าที่ได้มาเพราะบุญกุศลเดิม เพราะจริงๆ แล้วเดิมมนุษย์เป็นคนบาปไม่มีบุญกุศล แต่เนื่องจากพระเจ้าไม่ใช่เจ้าพ่อ เจ้าแม่ซึ่งหวังสิ่งตอบแทน แต่ทรงเป็น “พระเจ้าแห่งความรัก” (2 โครินธ์ 13: 11) สิ่งที่คริสเตียนต้องถือปฏิบัติเมื่อคำอธิษฐานสัมฤทธิ์ผลจึงไม่ใช่การแก้บน แท้จริงแล้วเมื่ออธิษฐานขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ควรต่อรองหรือสัญญาว่าจะทำอะไรเป็นการตอบแทนเมื่อพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน สิ่งนี้ไม่ปรากฏในคำอธิษฐานที่พระเยซูทรงสอนสาวก (ลูกา 11: 2–4) พระองค์ทรงสอนให้สาวกเพียงแต่อธิษฐานขอสิ่งต่างๆ เพื่อพระสิริและสำหรับผู้อธิษฐานเอง อย่างเช่นที่มัทธิว 7: 7 กล่าวว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน” และสิ่งที่คริสเตียนต้องถือปฏิบัติเมื่อคำอธิษฐานสัมฤทธิ์ผลน่าจะเป็นการขอบพระคุณ ซึ่งทำได้ก่อนที่คำอธิษฐานจะสัมฤทธิ์ผลด้วยซ้ำ หากมั่นใจจว่าท่าทีในการขอถูกต้องและสิ่งที่ขอเป็นสิ่งดีที่พระเจ้าจะประทานให้อย่างแน่นอน

บทสรุป

การเปรียบเทียบในด้านต่างๆ ระหว่างการบนบานศาลกล่าว การอธิษฐานในพุทธศาสนา และการอธิษฐานในคริสตศาสนาในบทที่ 4 น่าจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการอธิษฐานกับพระเจ้าในนามพระเยซูคริสต์นั้นไม่ใช่การบนบานศาลกล่าว และเมื่อพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน จึงไม่ต้องมีการแก้บน มีข้อสังเกตว่าคำอธิษฐานในลูกา 11: 4 ที่ว่า “ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ทั้งหลาย ด้วยว่าข้าพระองค์ยกความผิดของทุกคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น ...” ดูจะมีเงื่อนไขว่าผู้อธิษฐานต้อง “ยกความผิดของทุกคนที่ทำผิดต่อ” ผู้อธิษฐานเองก่อนจึงจะได้รับตามคำอธิษฐานนี้ เนื่องจากผู้อธิษฐานระบุไว้ชัดเจนเลยว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ตนทำแล้ว สิ่งสำคัญคือเงื่อนไขนี้จะต้องมีการปฏิบัติก่อนที่พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐาน ซึ่งตรงข้ามกับการแก้บนซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ได้ “ให้” ตามคำบนบานศาลกล่าวแล้ว
สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอเสนอว่าเมื่อจะประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์กับคนไทยพุทธนั้น เราอาจถามเขาว่าเคยบนบานศาลกล่าวไหม ต้องแก้บนอย่างไรบ้าง และถือว่าสิ่งนี้แสดงว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” หรือไม่ แล้วจึงเล่าต่อไปว่าการพึ่งพาพระเจ้า ผู้ประทานสิ่งต่างๆ ให้เรามาตลอดทำได้โดยที่เราไม่ต้องบนบานศาลกล่าว และสิ่งสำคัญที่สุดที่พระเจ้าทรงพร้อมจะประทานคือความรอดจากความพินาศในนรกบึงไฟ เราไม่ต้องบนบานศาลกล่าวเพื่อสิ่งนี้ เพียงแต่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตของเราเท่านั้น

บรรณานุกรม

ภาษาไทย
“การบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการแก้บน.” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
http://napak.igetweb.com/index.php?mo=3&art=143750 2008.
ชุมแสง เรืองเจริญสุข และวรรณภา เรืองเจริญสุข, ผู้แปล. ศาสนศาสตร์ระบบ. กรุงเทพฯ:
กนกบรรณสาร, 2538.
เสฐียรโกเศศ. เมืองสวรรค์ และผีสาง เทวดา. พระนคร: สำนักพิมพ์บรรณาคาร, 2515.
หนังสือพิมพ์คมชัดลึก. ว่าที่ผู้ว่า กทม. “บน...อะไร ที่ไหน อย่างไร”. วันอังคารที่ 26 สิงหาคม
พ.ศ. 2551.
อโณทัย เขตต์บรรพต. สิ่งที่ชาวพุทธควรรู้ 1. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ตามตะวัน, 2548.
After-Post-Modern. เดอะซีเคร็ตในพุทธธรรม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=200049

ภาษาอังกฤษ
Ashcroft, J. Robert. When You Pray. Springfield, Missouri: Global University, 1995.
Burden, Eunice. An Investigation of the Obstacles and Difficulties Encountered by Thais
Which Hinder Them in Becoming Christians. Ministry Research Project, In-Ministry Master of Religious Education, Asia Baptist Theological Seminary of Cornerstone University, 2005.
Smith, Alex G. Siamese Gold: The Church in Thailand. Bangkok: Kanok Bannasan, 1982.

Friday, August 24, 2007

The script

เขียนเสร็จเมื่อคืนนี้ค่ะ จะไปอัดรายการบ่ายสองวันนี้ ออกอากาศสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน ไม่รู้เหมือนกันว่าวัน เวลา อะไร

The Lost Tense
กาลที่หายไป
24 ส.ค. 2550

1. กาลคืออะไร
กาล (Tense) คือ เครื่องมือทางไวยากรณ์ที่ใช้แสดงเวลาอดีต ปัจจุบัน อนาคต
บางภาษามีกาลเช่นภาษาอังกฤษ สำหรับครูสอนภาษาอังกฤษหรือหนังสือไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแล้ว กาลที่ใช้ในการสอนจะมี 12 กาล คือ present simple, present progressive, present perfect, present perfect progressive, past simple, past progressive, past perfect, past perfect progressive, future simple, future progressive, future perfect, future perfect progressive ซึ่งแต่ละกาลจะมีรูปกริยาต่าง ๆ กันไป แต่ทางภาษาศาสตร์จะถือว่าภาษาอังกฤษมี 2 กาลคืออดีตและปัจจุบัน ส่วนอนาคตถือเป็นสิ่งที่เรียกว่าทัศนภาวะ (modality) ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงระดับความแน่ใจของผู้พูดที่มีต่อสิ่งที่พูดออกมาว่าจำเป็นต้องเกิดแน่ ๆ (necessity) หรือ อาจจะเกิด (possibility) ตัวบ่งชี้ทัศนะภาวะมีดังนี้ 1. คำกริยาช่วยที่ใช้บอกทัศนะภาวะ เช่น may, might, can, could 2. คำคุณศัพท์ เช่น possible, probable 3. คำกริยาวิเศษณ์ เช่น possibly, probably และ 4. อนุประโยค เช่น I think …
สำหรับภาษาไทย อย่างที่เราทราบกัน จะเป็นภาษาที่ไม่มีกาล คือรูปกริยาใด ๆ จะใช้บอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตก็ได้ อย่างไรก็ตามภาษาไทยมีคำทางไวยากรณ์ที่แม้แต่เจ้าของภาษาไทยเองก็อาจคิดว่าเป็นคำซึ่งบอกเวลา หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยโดยทั่วไปมักระบุว่าคำอย่างเช่น ได้ เคย แล้ว เพิ่ง บอกอดีตกาล กำลัง อยู่ บอกปัจจุบันกาล และจะ บอกอนาคต

2. กาลหายไปไหน
ชื่อเรื่องที่ว่า กาลที่หายไป จะหมายความว่า จริง ๆ แล้ว เครื่องมือทางไวยากรณ์ที่ใช้แสดงเวลาทั้งในภาษาที่มีกาลและภาษาที่ไม่มีกาลทั้งหมดเป็นตัวบ่งชี้ทัศนะภาวะ (modality marker) ไม่ได้หมายความว่าไม่มีกาล (tense) เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องสอนนักเรียนเรื่องการใช้ tense ต่าง ๆ กันแล้ว พูดให้ชัดขึ้นก็คือมี present simple, past simeple, future simple หรืออะไรต่ออะไรที่กล่าวไว้ข้างต้น ในภาษาไทยก็มี ได้ เคย แล้ว เพิ่ง กำลัง อยู่ และจะ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่กาล (tense) คือไม่ได้บอกเวลาอดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่เป็นตัวบ่งชี้ทัศนะภาวะ (modality marker) คือบอกความแน่ใจของผู้พูดว่าเหตุการณ์ที่พูดถึงอยู่จำเป็นต้องเกิดขึ้นแน่ ๆ หรือแค่อาจเป็นไปได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า กาล (tense) ไม่ได้หายไปไหนหรอก เพียงแต่ว่ากาลไม่ได้บอกเวลาอดีต ปัจจุบัน อนาคต อย่างที่เราอาจจะเคยเรียนมาตอนเด็ก ๆ แต่บอกความคิดของผู้พูดว่าเหตุการณ์ที่พูดถึงเป็นไปได้หรือไม่

3. ทราบได้อย่างไรว่ากาลไม่ได้บอกอดีต ปัจจุบัน และอนาคต (ดำเนินการวิจัยอย่างไร)
เนื่องจากนักภาษาศาสตร์จะศึกษาข้อมูลที่เป็นการใช้ภาษาจริง ๆ ของเจ้าของภาษาเท่านั้น จึงเริ่มต้นจากการเก็บข้อมูลเบื้องต้นโดยบันทึกเทปบทสนทนาของนักเรียนปริญญาเอก 4 คนในช่วงเวลาอาหารเย็น โดย 3 คนจะถามอีก 1 คนว่าทำก่อนหน้าวันนั้นทำอะไรบ้าง วันนั้นทำอะไรบ้าง และเมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว จะทำอะไรต่อ หลังจากนั้นนำมาถอดเทป เพื่อดูความหมายและความถี่ของคำต่าง ๆ ที่หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยเรียกว่าเป็นคำที่บอกกาลในภาษาไทย คำที่พบคือ ได้ เคย แล้ว มา ไว้ อยู่ จะ และไป อีก 2 คำที่หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยก็ระบุว่าเป็นคำบอกเวลาอดีต และปัจจุบัน คือ เพิ่งและกำลัง ไม่พบในบทสนทนานี้
หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยโดยทั่วไปจะระบุว่า ได้ เคย แล้ว มา ไว้ เป็นคำบอกอดีตกาล อยู่ เป็นคำบอกปัจจุบันกาล และ จะ เป็นคำบอกอนาคตกาล แต่เมื่อพิจารณาการเกิดของคำที่หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยเรียกว่าเป็นคำที่บอกกาลเหล่านี้ จะพบว่าที่จริง คำเหล่านี้ไม่ได้บอกอดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคต เหตุผลสำคัญประการแรกคือ แต่ละคำสามารถเกิดในประโยคที่บรรยายเหตุการณ์ที่มีกาลไม่ตรงกับสิ่งที่หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยระบุไว้ด้วย เช่น

(1) ได้อยู่ห้องบิสิเนสคลาสที่ไม่ได้จอง (อดีต)
(2) ยังไม่ได้จองเลย (ปัจจุบัน)
(3) พยายามจะออนไลน์แต่ออนไลน์ไม่ได้ (อดีต)
(4) ตั๋วเปลี่ยนได้หรือ (ปัจจุบัน)
(5) ไปวัดที่เคยบวชหรือเปล่า (อดีต)
(6) เขาจะมีลิสต์ไว้เลยว่าใครเคยทำอะไรมาบ้าง (ปัจจุบัน)
(7) อ้อนับไปแล้ว (อดีต)
(8) มันก็จะมีแค่นี้อยู่แล้ว (ปัจจุบัน)
(9) ร่างเป็นเอสเสก่อนแล้วจะเป็นแชปเตอร์ (อนาคต)
(10) เป็นงานโปรเจคต์ที่ซุปไปรับมาจากข้างนอกแล้วเราทีเอี่ยวด้วย (ปัจจุบัน)
(11) ขอคอลเลจได้ไม่ถึง 100 ปอนด์ เราเก็บไว้เลย เอาไว้ทำโปสเตอร์ (ปัจจุบัน)
(12) คุยกันเรื่องงานที่ยังค้างอยู่ (ปัจจุบัน)
(13) อยู่เหมือนกับเป็นคอมมอนรูม แล้วก็เลยนั่งอยู่ตรงนั้น (อดีต)
(14) ที่บอกว่ายังคิดอยู่ (อดีต)
(15) เดือนหน้าเราจะไม่อยู่ ไปอเมริกา กะว่าจะไปเดนเวอร์ด้วย (อนาคต)
(16) เขาบอกว่าเขากลับเมืองไทย เขาจะไปวัด (อดีต)
(17) เราจะนัดเจอกัน ก็ไม่รู้จะไปที่ไหนดี (อดีต)
(18) ไปอุ่นโจ๊ก ทำกับข้าวให้มันกิน (อดีต)
(19) เดี๋ยวเสร็จแล้ว จะกลับไปทำงานต่อ (อนาคต)

ข้อสรุปจากข้อมูลเบื้องต้นนี้คือคำต่าง ๆ ที่หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยเรียกว่าเป็นคำที่บอกกาลในภาษาไทยไม่น่าจะเป็นตัวบ่งชี้กาล เนื่องจากสามารถเกิดได้ในประโยคที่บรรยายเหตุการณ์ที่มีกาลไม่ตรงเวลาที่หนังสือไวยากรณ์ระบุไว้
ต่อมาเก็บข้อมูลเพิ่ม ทั้งจากบทสนทนา บทความจากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และนวนิยาย คือทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน โดยเลือกศึกษา 5 คำโดยละเอียด คือคำว่า ได้ เคย กำลัง อยู่ จะ เนื่องจากเป็นคำที่มีความถี่สูงที่สุดในข้อมูลเบื้องต้น และครอบคลุมเวลาอดีต (ได้ เคย) ปัจจุบัน (กำลัง อยู่) และ อนาคต (จะ) ตามที่หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยระบุไว้ เมื่อศึกษาความหมายของ 5 คำนี้จากตัวอย่างต่าง ๆ ในข้อมูลพบว่า ได้ แสดงทัศนะภาวะแบบบอกความสามารถ (dynamic modality)

(20) เกรมลินได้จับงู (อดีต)
(21) เกรมลินจับงูได้ (อดีต หรือ ปัจจุบัน)

เคย แสดงกาลลักษณะ (aspect) แบบบอกประสบการณ์ (experiential perfect)

(22) เกรมลินเคยจับงู (อดีต)
(23) เกรมลินไม่เคยจับงู (ปัจจุบัน)

กำลัง และ อยู่ แสดงกาลลักษณะ (aspect) แบบกำลังดำเนินอยู่ (progressive)

(24) เกรมลินกำลังจับงูอยู่ (ปัจจุบัน หรือ อดีต)
ส่วน จะ แสดงทัศนะภาวะแบบบอกความเป็นไปได้เชิงความรู้ (epistemic possibility)

(25) เกรมลินจะจับงู (อนาคต หรือ อดีต)

ประโยคตัวอย่างแต่ละประโยคนี้สามารถใช้บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตก็ได้ แล้วแต่กรณี อีกเหตุผลหนึ่งที่แสดงว่า ได้ เคย กำลัง อยู่ และจะ ไม่ได้บอกเวลา คือ คำเหล่านี้สามารถเกิดร่วมกันได้ในประโยคเดียวกัน แต่เรารู้ว่า กาล (tense) เกิดร่วมกันไม่ได้ ประโยคภาษาอังกฤษแต่ละประโยคมีเพียงกาลเดียวเท่านั้น ตัวอย่างประโยคที่ “คำบอกเวลา” สามารถเกิดร่วมกันได้ เช่น

(26) เกรมลินเคยจับงูได้ (ปัจจุบัน)
(27) เกรมลินกำลังจะจับงู (ปัจจุบัน หรือ อดีต)
(28) เกรมลินจะจับงูได้ (อนาคต หรือ อดีต)

ทฤษฎีที่นำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์นี้คือ อรรถศาสตร์ปริยาย (default semantics) ซึ่งกล่าวว่าประโยคใด ๆ ที่ผู้พูดคนหนึ่ง ๆ สื่อสารออกมาจะมีความหมายโดยปริยาย ซึ่งอาจไม่ใช่ความหมายตามตัวอักษร แต่เป็นความหมายที่ผู้ฟังจะรับรู้ได้ก่อนความหมายอื่นซึ่งเป็นความหมายตามตัวอักษรเสียอีก ตัวอย่างเช่น แม่พูด (29) กับลูกอาย 4 ขวบ ที่ทำมีดบาดนิ้วตัวเอง แล้วร้องไห้ไม่ยอมหยุด แม่ไม่ได้หมายความว่าลูกจะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่ตายตลอดไป ซึ่งนั่นคือความหมายตามตัวอักษร แต่ความหมายโดยปริยายของ (29) คือ (30) แม้คำว่า มีดบาด ไม่ได้กล่าวออกมาแต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของความหมายโดยปริยาย

(29) หยุดร้องไห้เถอะ แค่นี้ ไม่ตายหรอก
(30) หยุดร้องไห้เถอะ มีดบาดแค่นี้ ไม่ตายหรอก

เมื่อนำอรรถศาสตร์ปริยายมาอธิบายความหมายของ ได้ เคย กำลัง อยู่ และ จะ จะกล่าวได้ว่า ความหมายโดยปริยายของ ได้ และ เคย คือ อดีตกาล ความหมายโดยปริยายของ กำลัง และ อยู่ คือ ปัจจุบันกาล และ ความหมายโดยปริยายของ จะ คือ อนาคตกาล ทั้งนี้เป็นผลสรุปจากแบบสอบถาม ซึ่งขอให้เจ้าของภาษาไทย 20 คนระบุว่าประโยคต่าง ๆ ซึ่งมีได้ เคย กำลัง อยู่ และ จะ เป็นส่วนประกอบมีความหมายเป็นกาลใด ปรากฏว่าทั้ง 20 คนตอบว่าประโยคซึ่งมี เคย เป็นอดีตกาล ประโยคซึ่งมี กำลัง และ อยู่ เป็นปัจจุบันกาล ประโยคซึ่งมี จะ เป็นอนาคตกาล ส่วน ได้ นั้น 18 คน ตอบว่าเป็นอดีตกาล แต่ 2 คนตอบว่าเป็นปัจจุบันกาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความหมายอ้างอิงเชิงเวลาไม่ใช่ความหมายตามตัวอักษร แต่เป็นความหมายเชิงวัจนะปฏิบัติศาสตร์ (pragmatic)
มาถึงจุดนี้ขอสรุปว่า คำไวยากรณ์ที่หนังสือไวยากรณ์ภาษาไทยระบุว่าเป็นตัวบ่งชี้กาลนั้น ที่จริง ไม่ได้มีกาล คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นส่วนหนึ่งของความหมายตามตัวอักษร แต่ความหมายอ้างอิงเชิงเวลานี้เป็นเพียงความหมายปริยาย ซึ่งบางครั้งอาจไม่เกิดขึ้น นี่คือสาเหตุที่ ยกตัวอย่างเช่น ได้ ซึ่งปกติจะมีความหมายปริยายเป็นอดีต สามารถเกิดในประโยคที่ใช้บรรยายเหตุการณ์ในปัจจุบันได้
งานวิจัยนี้เกี่ยวข้องกับภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาที่ไม่มีกาล เป็นหลัก แต่ก็อ้างด้วยว่าการวิเคราะห์ว่าเครื่องมือทางไวยากรณ์ที่ใช้แสดงเวลา อดีต ปัจจุบัน อนาคต ในภาษาที่มีกาลเช่นภาษาอังกฤษ ว่าเป็นตัวบ่งชี้ทัศนะภาวะ (modality) หรือ สิ่งที่บอกความแน่ใจของผู้พูดว่าเหตุการณ์ที่พูดถึงอยู่จำเป็นต้องเกิดขึ้นแน่ ๆ หรือแค่อาจเป็นไปได้ ก็ทำได้เช่นกัน เมื่อกำหนดว่าทัศนะภาวะ (modality) มีลำดับชั้น ตั้งแต่ เหตุการณ์ที่พูดถึงไม่เกิดขึ้นแน่ ๆ ไปจนถึง อาจเกิดขึ้น และ เกิดขึ้นแน่ ๆ เราอาจกล่าวได้ว่า ตัวอย่างประโยค (31), (32) และ (33) แสดงความแน่ใจของผู้พูดลดหลั่นกันไป คือ (31) แสดงระดับความแน่ใจของผู้พูดสูงที่สุด รองลงมาคือ (32) และสุดท้ายคือ (33)

(31) Mary goes to the opera tomorrow night. (tenseless future)
(32) Mary is going to the opera tomorrow night. (futurative progressive)
(33) Mary will go to the opera tomorrow night. (future will)

ตัวอย่างประโยค (34), (35) และ (36) ก็เช่นกัน คือ (34) แสดงระดับความแน่ใจของผู้พูดสูงที่สุด รองลงมาคือ (35) และสุดท้ายคือ (36)

(34) Tom went to London. (simple past)
(35) Tom would have gone to London. (epistemic necessity past)
(36) Tom may have gone to London. (epistemic possibility past)

สรุปได้ว่า กาลในภาษาอังกฤษ ก็มีลักษณะความเป็นตัวบ่งชี้ทัศนะภาวะ (modality) อยู่เช่นกัน เพราะฉะนั้น อาจกล่าวได้ว่า กาล (tense) นั้นหายไป ทั้งในภาษาที่มีกาลอย่างภาษาอังกฤษ และภาษาที่ไม่มีกาลอย่างภาษาไทย

4. เหตุที่สนใจทำวิจัยเรื่องนี้
เนื่องจากสอนภาษาอังกฤษมาหลายปีและพบว่าปัญหาสำคัญของนักเรียนไทยคือระบบกาล (tense) ในภาษาอังกฤษ แรกเเริ่มเดิมทีคิดว่าความยากนี้เป็นเพราะภาษาไทยไม่มีกาล แต่ภาษาอังกฤษมีกาล ซึ่งอาจทำให้เจ้าของภาษาไทยและเจ้าของภาษาอังกฤษมีความคิดแตกต่างกันในเรื่องเวลา โดยเจ้าของภาษาไทยอาจจะคิดว่าเวลาไม่มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต เพราะภาษาไทยไม่มีเครื่องมือทางไวยากรณ์ที่ใช้ระบุเวลาอดีต ปัจจุบัน อนาคต ในขณะที่เจ้าของภาษาอังกฤษจะคิดว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต จะมีเส้นแบ่งชัดเจน เมื่อจะพูดถึงเหตุการณ์ใดจะต้องใช้กาลกำกับทุกครั้งว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต
แต่เมื่อดำเนินการวิจัยแล้ว พบว่าจริง ๆ แล้ว ดูเหมือนว่า ทั้งเจ้าของภาษาไทยและเจ้าของภาษาอังกฤษน่าจะมีความคิดเกี่ยวกับเวลาไม่แตกต่างกัน โดยไม่ได้คิดว่าเวลา คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่คิดว่ามันคือ ความจำเป็น และ ความเป็นไปได้

5. มีข้อเสนอแนะสำหรับผู้ที่สนใจเรียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษอย่างไร
ที่จริงต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า สิ่งที่นักภาษาศาสตร์ศึกษาไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในเชิงการสอนหรือการเรียนภาษา แต่เป็นไปเพื่อการอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในภาษาใด ๆ เพื่อให้เราสามารถเข้าใจตัวเราเอง ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่มีภาษาใช้ในการสื่อสารที่ซับซ้อนเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้อาจช่วยผู้ที่สนใจเรียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้บ้าง กล่าวคือ ผู้ที่เรียนภาษาไทย โดยเฉพาะที่เป็นเจ้าของภาษาอังกฤษ หรือภาษาที่มีกาลอื่น ๆ ควรตระหนักว่า คำพวก ได้ เคย กำลัง อยู่ และ จะ ไม่ใช่คำแสดงกาล (tense) ในภาษาไทย และคำกริยาในภาษาไทยไม่ต้องมีคำบ่งชี้กาลกำกับ เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ใช้คำเหล่านี้ฟุ่มเฟือยจนพูดไม่เป็นธรรมชาติในภาษาไทย ถ้าใครเคยได้พูดคุยกับคนอังกฤษหรืออเมริกันที่เพิ่งเริ่มเรียนพูดภาษาไทยได้บ้าง อาจจะเคยสังเกตว่า เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต เขาจะใช้ ได้ กำกับคำกริยาทุกครั้ง ทำให้สิ่งที่เขาพูดฟังดูแปลก ๆ ครั้งหนึ่งเคยโทรศัพท์ไปหาเพื่อนคนไทยที่มีเพื่อนร่วมห้องทำงานเป็นคนอเมริกันในตอนเย็น และได้รับคำตอบจากคนอเมริกันนี้ว่า “เขาได้ปิดไฟในห้องทำงานแล้ว เขาได้กลับบ้านแล้ว” ซึ่งก็ฟังเข้าใจแต่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติในภาษาไทย
ส่วนเจ้าของภาษาไทยที่เรียนภาษาอังกฤษควรจะตระหนักในทางกลับกันว่า คำกริยาในภาษาอังกฤษต้องมีกาล (tense) กำกับ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือระบบกาลที่ซับซ้อนในภาษาอังกฤษอาจอธิบายให้ง่ายขึ้นได้ โดยใช้แนวคิดที่ว่าจริง ๆ แล้ว ไม่มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่เป็นความจำเป็น และ ความเป็นไปได้
เป็นที่น่าสังเกตว่าเครื่องมือทางไวยากรณ์ที่ใช้บอกกาล (tense) ในภาษาอังกฤษอาจมีการใช้ที่ไม่ตรงกับรูป ตัวอย่างเช่นข้อ (37)–(40) ข้างล่างนี้ ข้อ (37) เป็นการใช้รูปอดีตกาลเพื่อถามอย่างสุภาพกับคนแปลกหน้าที่อยู่ในลิฟต์เดียวกันในขณะพูด (เวลาปัจจุบัน) อีกนัยหนึ่งคือ รูปอดีตกาลอาจใช้แสดงทัศนะภาวะในการถามหรือขอร้องอย่างสุภาพหรือลังเล

(37) Which floor did you want?

ในข้อ (38) ปัจจุบันกาลถูกใช้บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดแล้วในอดีต เรียกว่าเป็นปัจจุบันกาลเชิงประวัติ (historical present) ซึ่งน่าจะมีทัศนะภาวะหรือระดับความแน่ใจของผู้พูดสูงเท่า ๆ กับเมื่อใช้รูปอดีตกาล

(38) I’m sitting on the verandah when up comes Joe and says …

ข้อ (39) เป็นการใช้รูปปัจจุบันกาลเพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งแสดงระดับความแน่ใจของผู้พูดสูงที่สุดในบรรดารูปกริยาต่าง ๆ ที่ใช้บอกเล่าเหตุการณ์ในอนาคตได้ ดังกล่าวแล้วข้างต้น

(39) Mary goes to the opera tomorrow night.

ส่วนในข้อ (40) ‘will’ ซึ่งอาจบอกเวลาอนาคตกลับปรากฏในประโยคที่บอกเวลาปัจจุบัน เป็นตัวอย่างการใช้ ‘will’ เพื่อแสดงทัศนะภาวะชนิดความจำเป็นเชิงความรู้ (epistemic necessity)อย่างชัดเจน โดยผู้พูดมีความแน่ใจสูงว่าเหตุการณ์ดังกล่าวกำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน

(40) Mary will be in the opera now.

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงอยากให้มีการเสนอการสอนเครื่องมือทางไวยากรณ์ที่ใช้บอกกาลแนวใหม่โดยอาจมองว่าสิ่งที่เรียกว่าเป็นเครื่องมือทางไวยากรณ์ที่ใช้บอกกาลนั้นจริง ๆ แล้วไม่ได้บอกกาล คืออดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่เป็นตัวบ่งชี้ทัศนะภาวะ (modality) ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจศึกษาต่อไป

Friday, August 10, 2007

The Lost Tense

That's the title of my second show on Radio Chula, to be recorded within this month, to be on air the first week of next month.
Will be back with more details, the script, etc.

กาลที่หายไป
ชื่อรายการที่จะพูดที่วิทยุจุฬาค่ะ ตั้งชื่อเสียเก๋ไก๋ จริง ๆ ก็พูดเรื่องวิทยานิพนธ์นั่นแหละค่ะ ทำมาตั้งหลายปี ต้องใช้ให้คุ้ม เขียนสคริปต์เสร็จเมื่อไร จะนำมาโพสต์นะคะ

Saturday, April 07, 2007

to be on air


อาจารย์ภาวรรณ (ซึ่งจะเกษียณปีนี้) ชวนไปออกรายการวิทยุค่ะ ให้พูดเกี่ยวกับจุฬาฯและเคมบริดจ์ ในหัวข้อที่ว่า "ความเหมือน ความแตกต่าง การประยุกต์ใช้" จะไปอัดเทปบ่ายวันพุธที่จะถึงนี้นะคะ (หลังจากประชุม BBA)

สนุกหละค่ะทีนี้ เรื่องหนึ่งที่อยากพูดคือการที่อยู่ ๆ ภาควิชาของดิฉันก็อยากเปิดวิชาทำนอง English for Profession หรือ English for Tourism ขึ้นมา ต้องการจะเน้น practical subjects ไม่ใช่ academic stuff แล้ว ทั้ง ๆ ที่เราไม่ใช่ vocational school นะคะ ลองไปดู Vice-Chancellor ของ Cambridge (เป็นผู้หญิงเรียนที่ Newnham เหมือนดิฉันค่ะ ;-) พูดข้างล่างนี้นะคะ

ฉันรู้สึกว่าเราต้องเน้น academic stuff ค่ะ เรียนจบอักษรฯ เอกภาษาอังกฤษ ต้องรู้ภาษาอังกฤษดีกว่าคนจบคณะอื่นที่ใช้ภาษาอังกฤษได้สิคะ (เดี๋ยวนี้ ดูเหมือนใคร ๆ ก็เก่ง ๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ อย่างเช่นเด็กบัญชีอินเตอร์ที่สอนอยู่นะคะ ชมเสียหน่อย เผื่อว่าจะมาอ่านค่ะ) ระบบเสียง โครงสร้างคำ โครงสร้างประโยค ประวัติความเป็นมาของภาษาอังกฤษ Old English, Middle English, Modern English ควรรู้ให้หมด ถ้าจะสอนแต่เน้นทักษะ เปิดโรงเรียนกวดวิชากันดีกว่าค่ะ


Notes: CAM = Cambridge Alumni Magazine, AR = Alison Richard (University of Cambridge Vice-Chancellor)

CAM: Will the fact that undergraduates are now paying £3,000 a year for tuition change Cambridge?
AR: I anticipate that students and their families will certainly be paying more attention to the quality of their educational experience, and that’s no bad thing. But it won’t reshape the fundamentals of what we do. We’re not in the business of fact-cramming or vocational training. We’re educating students to think for themselves and to think critically.
CAM: So we won’t see courses in Golf Course Management?
AR: Universities do different things, and some focus more on practical skills. Cambridge operates across a broader spectrum and emphasises the value of learning for its own sake as a way of training the mind. How that education is conceived and delivered remains primarily in the hands of our academics – and I must say that the seriousness with which they take this responsibility is truly impressive, even inspiring.
CAM: What you’re saying is effectively parallel to the advice given to prospective students about A-levels on the university website? That Cambridge isn’t disparaging practical subjects, but what it does is the academic stuff.
AR: That’s exactly right. Cambridge is academically rigorous and it’s better that students know that well in advance if they aspire to study here.

อ่านเต็ม ๆ ได้ที่นี่ (หรือที่หน้าห้องทำงานดิฉัน พริ้นท์ไปติดไว้แล้วค่ะ)

Monday, April 02, 2007

busy ant


Very busy. Spent two days in the Department Seminar last week; spent forever dealing with the BBA course, grading, getting prepared for class, familiarizing myself with the APA style, looking for material for final exams. Was working on a translation that was overdue. Now having two completely new course syllabi to get done; one for the MA (English) program and the other for MA (Translation) program.

But of course I had time to take my niece and nephews to the zoo. See more pictures here.

Wednesday, March 14, 2007

hello from building 4

I'm in the library sceince laboratory, learning how to create electronic texts using Acrobat 7 Professional. It is great fun. It's a pity though that I have to go to a meeting after lunch, but I'll surely be back.

Thursday, February 08, 2007

proposal

“รูปแทนทางอรรถศาสตร์ของข้อความเฉพาะที่ให้ความหมายอ้างอิงเชิงอดีตกาล: หลักฐานจากการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยและภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ”
That's the Thai name of the research proposal that I got done today (finally). It's bearly comprehensible even for me. But it's a regulation/tradition to write such a proposal in Thai. The much easier to understand title is: Semantic Representation of Expressions with Past-time Reference: Evidence from English-Thai and Thai-English Translation. I don't blame you if you can't find any sense in this, though.

Saturday, March 04, 2006

Share twenty things others should know about you

There is no such thing, but if you must. 
1. My name is Jiranthara, which means a land that lasts forever. 
2. I was born (eight weeks early) and raised in Thailand. 
3. My mom can calm you down whatever problem you have. 
4. My dad has a great sense of humour. 
5. I have only one younger sister, who is married with three children. 
6. She is taking good care of everyone in the family when I am away. 
7. My niece is gorgeous. 
8. My nephews are cute. 
9. If one can have more than one best friend, mine are Pom and Noy. 
10. We share our moments of madness and manage to keep each other sane. 
11. I've had three full-time jobs as a writer/translator, an international banking officer, and a lecturer. 
12. I started my PhD in January 2003. 
13. When I finish it, I'm going to teach again. 
14. I'm not doing a PhD for promotion at work; I just wanted to be away from work for a while, i.e. to be doing a different kind of work (to make it not sound as bad). 
15. I hope to submit my thesis in April (fingers crossed). 
16. A fortune teller, no two fortune tellers, told me I am getting married when I finish my PhD (with whom?) 
17. I think I've been learning a lot about myself over these past three years away from home (even more than about linguistics or time conceptualsation). 
18. I am spiritual but impatient. 
19. I care about other people, but not about what they think of me. 
20. I start knowing people, thinking they are good (some people prove me wrong, but they can't change me).

Thursday, February 23, 2006

Describe a project you're working on

Introduction (area of study): Time conceptualisation in Thai
The problem (that I tackle): Do speakers of tensed and tenseless languages conceptualise time in the same or different way?
What the literature says about this problem: Apparently different.
How I tackle this problem: I examine the semantic and pragmatic properties of five words commonly considered temporal expressions in Thai: dai, khery, kamlang, yu, and ja.
How I implement my solution: I represent utterances containing the five in the Discourse Representation Structure and merger representation in the frameworks of Discourse Representation Theory and Default Semantics.
The result: Temporal information is not encoded by the five but is their default reading, analysable as a cognitive default in DS. Their status in Thai grammar is modal or aspectual rather than temporal.
Conclusion: With the proposal of temporality as modality in mind, universality of time conceptualisation is perhaps a plausible case.

Saturday, February 18, 2006

Share interesting bits of information

Believe it or not, you can write a PhD thesis on certain five words in a certain language, with the major claim that their semantics and pragmatics seem to support the view of universality of time conceptualisation. For those who find the idea of being a PhD candidate appealing, all you need to do is to appear to be good enough at first. Later on, it is likely you will be made less confindent, or more aware of your (in)ability in the process. To me, at this point, what a PhD project seems to produce best is a humble researcher, which is a good thing.

Monday, January 30, 2006

might be an idea

I'm thinking of following the 31 blogging ideas given by MSN space in this TEST blog of mine, in that order, starting from 1 February. To see what they are, click the link below. Quote Snippets of nuts: that's what blogs are for