Thursday, July 23, 2009

การอธิษฐานในคริสตศาสนา

การอธิษฐานในคริสตศาสนานั้นไม่ใช่เป็นเพียงสิทธิพิเศษของผู้เชื่อในการสนทนากับพระเจ้า แต่ยังเป็นหน้าที่อีกด้วย เมื่อพิจารณาข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ในมาระโก 1: 35 ที่ว่า “ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว และทรงอธิษฐานที่นั่น” และในลูกา 6: 12 ที่ว่า “ต่อมาคราวนั้นพระองค์เสด็จไปที่ภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน และได้อธิษฐานต่อพระเจ้าคืนยังรุ่ง” จะเห็นว่าสำหรับพระเยซู การอธิษฐานสำคัญกว่าการนอนหลับพักผ่อน ส่วนกิจการ 6: 4 “ฝ่ายพวกเราจะขะมักเขม้นอธิษฐานและสั่งสอนพระวจนะเสมอไป” แสดงให้เห็นว่าอัครสาวกทั้ง 12 คนจัดลำดับให้การอธิษฐานมาก่อนการเทศนา จากข้อคิดเห็นของ J. Robert Ashcroft เมื่อผู้เชื่ออธิษฐาน สิ่งที่ควรปฏิบัติคือระลึกถึงพระเจ้า มีท่าทีที่ถูกต้องต่อพระเจ้า ฟังพระสุรเสียง ใช้พระวจนะในคำอธิษฐาน อธิษฐานเผื่อผู้อื่น ร่วมใจอธิษฐานกับผู้เชื่ออื่น และขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยในการอธิษฐาน
ในลูกา 11: 2–4 เมื่อสาวกขอให้พระองค์สอนเรื่องการอธิษฐาน พระเยซูตรัสดังนี้

เมื่อท่านอธิษฐานจงว่า “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จในสวรรค์อย่างไร ก็ให้สำเร็จบนแผ่นดินโลกเหมือนกันอย่างนั้น ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายทุกๆ วันขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ทั้งหลาย ด้วยว่าข้าพระองค์ยกความผิดของทุกคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น ขออย่าทรงนำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้ข้าพระองค์พ้นจากความชั่วร้าย”

เห็นได้ว่าคำอธิษฐานนี้ประกอบด้วยคำขอทั้งหมด 7 ข้อ แบ่งได้เป็น 2 ตอน กล่าวคือตอนแรกข้อ 1–3 เป็นคำขอสำหรับพระสิริ ดังนี้
1. ขอให้พระนามของพระเจ้าเป็นที่เคารพสักการะ
2. ขอให้อาณาจักรของพระเจ้ามาตั้งอยู่
3. ขอให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก

และตอนที่สอง ข้อ 4–7 เป็นคำขอสำหรับผู้อธิษฐานเอง ดังนี้
4. ขอประทานอาหารประจำวันแก่ผู้อธิษฐาน
5. ขอทรงยกโทษบาปแก่ผู้อธิษฐานซึ่งได้ยกความผิดของทุกคนที่ทำผิดต่อตนแล้ว
6. ขออย่าทรงนำผู้อธิษฐานเข้าไปในการทดลอง
7. ขอให้ผู้อธิษฐานพ้นจากความชั่วร้าย

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ต่างๆ เหล่านี้คือ มัทธิว 6: 8 “สิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว” ยากอบ 4: 2–3 “ที่ท่านไม่มีเพราะท่านไม่ได้ขอ ท่านขอและไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองราคะตัณหาของท่าน” และโรม 8: 26 “พระวิญญาณก็ทรงช่วยเราเมื่อเราอ่อนกำลังด้วยเช่นกัน เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใดอย่างไร แต่พระวิญญาณเองทรงช่วยขอเพื่อเราด้วยความคร่ำครวญซึ่งเหลือที่ จะพูดได้” อาจแบ่งสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ออกได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้

ก. สิ่งที่พระเจ้าประทานให้โดยที่ไม่ต้องอธิษฐานขอก็ได้ (มัทธิว 6: 8)
ข. สิ่งที่พระเจ้าประทานให้เฉพาะเมื่อมีการอธิษฐานขอ (ยากอบ 4: 2)
ค. สิ่งที่พระเจ้าไม่ประทานให้แม้มีการอธิษฐานขอ (ยากอบ 4: 3)
ง. สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอธิษฐานขอให้ เมื่อเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่ง
ใด อย่างไร (โรม 8: 26)

และเมื่อกลับไปพิจารณาคำอธิษฐานขอในลูกา 11: 2–4 เป็นไปได้ว่าคำขอตอนแรกข้อ 1–3 ซึ่งเป็นคำขอสำหรับพระสิริน่าจะอยู่ในประเภท ก. เนื่องจากจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วไม่ว่ามีการอธิษฐานขอหรือไม่ ส่วนคำขอตอนที่สอง ข้อ 4–7 ซึ่งเป็นคำขอสำหรับผู้อธิษฐานเองนั้น ข้อ 4 น่าจะอยู่ในประเภท ก. คือพระเจ้าจะประทานให้โดยที่ไม่ต้องอธิษฐานขอก็ได้เช่นกัน ในขณะที่ข้อ 5 น่าจะอยู่ในประเภท ข. คือ พระเจ้าประทานให้เฉพาะเมื่อมีการอธิษฐานขอเท่านั้นและยังมีเงื่อนไขว่าผู้อธิษฐานยังต้อง “ยกความผิดของทุกคนที่ทำผิดต่อ” ผู้อธิษฐานเองก่อนด้วย ซึ่งเป็นสิ่งน่าสนใจที่จะกล่าวถึงต่อไปในบทที่ 5 ข้างล่างนี้ สำหรับข้อ 6 และข้อ 7 น่าจะอยู่ในประเภท ค. คือเป็นสิ่งที่พระเจ้าอาจไม่ประทานให้ตามคำอธิษฐาน เนื่องจากอย่างที่ทราบกันดีว่าในบางครั้งพระเจ้าอนุญาตให้มีการทดลองเกิดขึ้นและผู้เชื่ออาจต้องเผชิญความชั่วร้าย เพื่อการเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อคนนั้นตามที่ปรากฏในยากอบ 1: 2–4 ว่า “พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายตกอยู่ในการทดลองต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีทั้งสิ้นเพราะท่านทั้งหลายรู้ว่าการทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความเพียร และจงให้ความเพียรนั้นกระทำการจนสำเร็จ เพื่อท่านทั้งหลายจะสมบูรณ์ครบถ้วนไม่ขาดสิ่งใดเลย” และตามที่ปรากฏในยอห์น 9: 3 ว่า “ ... เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา” ซึ่งก็คือเพื่อการถวายเกียรติแด่พระเจ้า ส่วนประเภท ง. สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอธิษฐานขอให้นั้นน่าจะครอบคลุมคำอธิษฐานขอทุกข้อในลูกา 11: 2–4
ในบทต่อไปของรายงานฉบับนี้ ข้าพเจ้าเปรียบเทียบการบนบานศาลกล่าว การอธิษฐานในพุทธศาสนา และการอธิษฐานในคริสตศาสนา พร้อมทั้งกล่าวถึงสาเหตุต่างๆ ที่การอธิษฐานในคริสตศาสนาไม่ใช่การบนบานศาลกล่าวอย่างที่ปฏิบัติกันอยู่ในสังคมไทย

No comments: