Tuesday, December 24, 2013

ความสำคัญของวันคริสต์มาส

สคริปท์ที่เขียนสำหรับรายการอักษรพาที ออกอากาศไปแล้วเมื่อเสาร์ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ฟังย้อนหลังได้จากเวบไซต์วิทยุจุฬาฯ (ฟังแล้ว รู้สึกอย่างไร ไม่ต้องมาบอกค่ะ อาย) แต่ถ้าอยากอ่าน เชิญเลยค่ะ (ติชมเนื้อหาได้ค่ะ)

ความสำคัญของวันคริสต์มาส

วันคริสต์มาสตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันหยุดราชการในหลาย ๆ ประเทศโดยเฉพาะประเทศทางตะวันตก คล้าย ๆ กับวันสงกรานต์ของเราซึ่งคือ 13 เมษายนในแง่ที่ว่าจะมีวันหยุดก่อนและหลังวันสงกรานต์ด้วย วันคริสต์มาสก็เช่นกัน บางประเทศเช่นเยอรมนี สาธารณรัฐเชค และออสเตรียจะหยุดตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคมแล้ว เรียกว่า Christmas Eve และสำหรับประเทศอังกฤษ แคนาดา และประเทศในเครือจักรภพ วันที่ 26 ธันวาคมเป็นวันหยุดราชการเช่นกัน เรียกว่า Boxing Day สรุปว่าจะมี 3 ติดกันเรียกว่า Christmas Eve, Christmas Day หรือวันคริสต์มาส และ Boxing Day

ทำอะไรใน วันนี้

เริ่มตั้งแต่ Christmas Eve สถานที่ราชการ หรือบริษัทต่าง ๆ อาจจะหยุดทั้งวัน หรือครึ่งวันเพื่อให้ผู้คนได้มีเวลาเตรียมตัวสำหรับวันคริสต์มาส ซื้อของขวัญ เตรียมอาหารตกแต่งบ้าน ในบางประเทศ ร้านค้าจะเปิดจนดึก เพื่อให้ผู้คนมีเวลาจับจ่ายซื้อของ ในบางประเทศ ร้านค้าจะปิดเร็วเพื่อให้ผู้คนได้มีเวลากับครอบครัว อาจจะเปิดของขวัญกันในวันนี้ ถ้าเป็นคริสเตียน ก็อาจไปร้องเพลงที่เรียกว่า Christmas carol กันตามบ้าน ห้างสรรพสินค้า หรือที่สาธารณะอื่น ๆ

สำหรับวันคริสต์มาส เนื่องจากเป็นวันหยุดผู้คนจึงมักใช้เวลาในวันนี้กับครอบครัว รับประทานอาหาร และแลกเปลี่ยนของขวัญกัน ในโบสถ์ของชาวคริสต์ จะมีการนมัสการพิเศษ อาจมีการจุดเทียน เรียกว่า candle-lit service

ส่วน Boxing Day ซึ่งบางแหล่งข้อมูลกล่าวว่า ที่เรียกว่า Boxing Day เพราะแต่เดิมเป็นวันที่นายจ้างจะให้ของขวัญแก่ลูกจ้าง ในปัจจุบัน BoxingDay จะเป็นวันที่ร้านรวงต่าง ๆ จะเริ่มการลดกระหน่ำหลังวันคริสต์มาส บางคนอาจไปเข้าคิวรอซื้อของตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเลยทีเดียว

วันคริสต์มาสสำคัญอย่างไร

วันคริสต์มาสเป็นวันสำคัญ คือจะเป็นวันเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ในเชิงประวัติศาสตร์แล้ว ที่จริงมีการสันนิษฐานกันว่าพระเยซูไม่ได้ประสูติในวันที่ 25 ธันวาคม ตามวิธีคำนวณต่าง ๆ กัน วันที่กล่าวกันว่าเป็นวันประสูติที่แท้จริงของพระเยซูมีวันที่ 28 มีนาคม วันที่ 11 กันยายน หรือ 18 พฤศจิกายน ในช่วงก่อนคริสตกาล 2–7 ปี พระคริสตธรรมคัมภีร์หรือที่รู้จักกันในชื่อพระคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บันทึกไว้ว่าวันประสูติของพระเยซูตรงกับวันอะไร แต่บันทึกไว้ว่าพระองค์ประสูติในคอกสัตว์ เนื่องจากในช่วงนั้นจักรพรรดิออกัสตัสรับสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทำให้โยเซฟกับกับมารีย์ต้องเดินทางจากที่อยู่ในเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี ไปที่เมืองเบธเลเฮม แคว้นยูเดีย ซึ่งเป็นเมืองของเชื้อสายของโยเซฟ และเนื่องจากไม่มีที่ว่างในโรงแรม เมื่อมารีย์คลอดบุตรชายคือพระเยซูแล้ว ก็พันผ้าอ้อมและวางไว้ในรางหญ้า พระคัมภีร์ไบเบิลบันทึกไว้ว่า ในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่กลางทุ่ง เฝ้าฝูงแกะอยู่ในเวลากลางคืน จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าวันประสูติเป็นวันที่ 25 ธันวาคมจริง เพราะเป็นกลางฤดูหนาวอากาศน่าจะหนาวเย็นเกินไปที่จะอยู่กลางแจ้ง

แล้วทำไมเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซูในวันที่ 25 ธันวาคม

ในยุคก่อนคริสตกาล จะมีการฉลองในช่วงกลางฤดูหนาว เนื่องจากความหนาวหน็บที่สุดของฤดูหนาวได้ผ่านพ้นไปแล้วผู้คนจะตั้งตารอเวลาที่จะมีแสงอาทิตย์ให้เห็นมากขึ้น ในสแกนดิเนเวียหรือยุโรปเหนือ ซึ่งอากาศหนาวกว่าส่วนอื่น ๆ ในยุโรป เมื่อถึงเวลานั้น ผู้ชายในครอบครัว คือพ่อและลูกชาย จะช่วยกันตัดต้นไม้มาทำเป็นขอนไม้เพื่อใช้ก่อไฟ มีการล้มวัวเพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องหาอาหารให้วัวในช่วงฤดูหนาวที่เหลือ ไวน์และเบียร์ที่หมักไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้ที่พอดีและจะกินเลี้ยงกันจนไฟจากขอนไม้ที่ตัดมามอด ซึ่งอาจยาวนานถึง 12 วันกันเลยทีเดียว เดี๋ยวนี้ก็ยังมีการก่อไฟโดยใช้ขอนไม้ที่เรียกว่า Yulelog ในเตาผิง เป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส และเค้กขอนไม้ที่รับประทานกันในช่วงคริสต์มาสก็มีที่มาจากสิ่งนี้นี่เอง

ส่วนในโรมซึ่งอากาศไม่หนาวเท่ายุโรปเหนือ ชาวโรมนอกศาสนาก็มีเทศกาลฉลองพระเสาร์ซึ่งเป็นเทพแห่งเกษตรกรรม มีการดื่มกินกันอย่างมากมายยาวนานเช่นกันในช่วงวันที่ 17–25 ธันวาคม จนในศตวรรษที่ 4 คริสเตียนเริ่มเข้าร่วมฉลองเทศกาลนี้ด้วย เนื่องจากหวังจะให้ชาวโรมนอกศาสนาเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียนจึงประกาศอย่างเป็นทางการว่า วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันประสูติของพระเยซู เรียกว่าวันคริสต์มาส ผู้ประกาศนั้น บางตำราก็ว่าเป็นจักรพรรดิคอนสแตนติน บางตำราก็ว่าเป็นสันตปาปาจูเลียสที่ 1 ส่วนปีที่ประกาศ ตำราต่างเล่มก็เขียนไว้ไม่ตรงกันอีกเช่นกัน บ้างว่า ค.ศ. 324 บ้างว่า ค.ศ. 336 ซึ่งอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 4

สรุปว่าการเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูมีในวันที่ 25 ธันวาคม แม้ว่าจะไม่ใช่วันประสูติของพระเยซูจริง ๆ เนื่องจากศาสนจักรต้องการร่วมมีส่วนในเทศกาลฉลองพระเสาร์ของชาวโรมนอกศาสนาซึ่งมีในช่วงวันที่ 17–25 ธันวาคม  เป็นความพยายามที่จะให้ชาวโรมนอกศาสนาเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียน

ในอังกฤษและอเมริกาเริ่มฉลองวันคริสต์มาสตอนไหน

ปลายศตวรรษที่ จึงจะเริ่มมีการเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูในอังกฤษจนถึงศตวรรษที่ 17 มีการปฏิรูปศาสนาโดยมาร์ติน ลูเธอร์ นักบวชคาทอลิกชาวเยอรมัน และมีการปฏิวัติในอังกฤษ สองเหตุการณ์นี้ทำให้การฉลองวันคริสต์มาสต่างออกไป เมื่อโอลิเวอร์ ครอมเวลชนะสงครามกลางเมืองในอังกฤษ ก็ประกาศยกเลิกการฉลองวันคริสต์มาสในปี ค.ศ. 1649 จนเมื่อพระเจ้าชาร์ลส์ที่ กลับมาครองราชย์ในปี ค.ศ. 1660 ถึงเริ่มมีการฉลองคริสต์มาสอีกครั้งแต่การฉลองคริสต์มาสในลักษณะที่เป็นเหตุการณ์แห่งความรัก สันติสุขและความชื่นชมยินดี เพิ่งเริ่มขึ้นในทศวรรษปี 1820

ส่วนในอเมริกาเมื่อเทียบกับยุโรป นับว่าเริ่มมีการฉลองคริสต์มาสมาไม่นาน คือมีการประกาศว่าวันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันหยุดราชการ เมื่อวันที่26 มิถุนายน ค.ศ. 1870 นี้เอง

ในอังกฤษและอเมริกาฉลองคริสต์มาสอย่างไรบ้าง

เมื่อช่วงกลางอาทิตย์ มีการเผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันเกี่ยวกับการฉลองคริสต์มาสว่า ชาวอเมริกันมองว่าวันคริสต์มาสเป็นวันหยุดที่มีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมมากกว่าความสำคัญในเชิงศาสนา คือสิ่งที่ทำกันในวันนี้ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเช่นการร้องเพลง Christmas carol ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการประสูติของพระเยซู และสันติสุขและความชื่นชมยินดีอันเนื่องมาจากเหตุการณ์นี้ เพลงคริสต์มาสแครอลที่เป็นที่รู้จักกันดีเช่น Silent Night และ Joy to the World การร้องเพลงคริสต์มาสแครอลนี้มีคนทำน้อยมากไม่ถึง10 % ชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะใช้เวลากับครอบครัวหรือเพื่อนฝูงแลกของขวัญ ส่งการ์ดอวยพร พูดง่าย ๆ คือ ซานตาคลอสดูจะมีความสำคัญว่าพระเยซู จากการสำรวจ พบว่าครอบครัวที่มีลูกหรือไม่มีลูกก็ตาม ต่างก็รอคอยการมาของซานตาคลอส

ขอเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับซานตาคลอสสักนิด

ซานตาคลอสหรือเซนต์นิโคลัสเป็นชายสูงวัยใจดี ใส่ชุดสีแดง มีเคราสีขาวจะเดินทางด้วยเลื่อนที่ลากโดยกวางเรนเดียร์ เพื่อนำของขวัญมาให้เด็กดีทั่วโลกในคืนวันที่ 24 ธันวาคม เข้าไปในบ้านของเด็ก ๆ ทางปล่องไฟแล้วใส่ของขวัญ ซึ่งมักเป็นของเล่นที่ผลิตโดยเอลฟ์ ไว้ในถุงเท้าที่เด็ก ๆ เตรียมแขวนไว้ที่เตาผิง และเด็ก ๆ ก็จะเตรียมขนมกับเครื่องดื่มไว้ไห้ซานตาคลอสเช่นกัน เด็กอเมริกันมักจะวางคุกกี้ชอคโกแลตชิพ เด็กอังกฤษจะวางมินซพาย ส่วนเครื่องดื่มอาจเป็นนมหรือบรั่นดี

ขอเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับมินซพาย

มินซพายจะเป็นพายชิ้นเล็ก ๆไส้ผลไม้แห้งสับละเอียดใส่เครื่องเทศและเหล้าที่ได้จากการกลั่น ในอังกฤษจะมีคำกล่าวว่า Chirstmas would not be Christmas without mince pies. ซึ่งแปลได้ว่า คริสต์มาสจะไม่ใช่คริสต์มาสถ้าไม่มีมินซพาย

นอกจากรับประทานมินซพายที่อังกฤษจะฉลองอย่างไรอีกบ้าง

จากประสบการณ์ส่วนตัว เนื่องจากเคยศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ เห็นว่าการฉลองคริสต์มาสในอังกฤษเกี่ยวข้องกับศาสนามากกว่า เนื่องจากวันคริสต์มาสอยู่ในช่วงปิดเทอมนักเรียนกลับบ้านหมด โบสถ์ต่าง ๆ ในเมืองที่มีมหาวิทยาลัยจะเริ่มมีกิจกรรมฉลองคริสต์มาสตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม ที่มีกันแทบทุกโบสถ์คือการร้องเพลง Christmas carol ประสานเสียงในโบสถ์ หลังจากนั้นโบสถ์จะมีมินซพายและมัลด์ไวน์ซึ่งเป็นไวน์แดงต้มกับเครื่องเทศและลูกเกดเสริฟให้รับประทาน เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับอย่างหนึ่ง สำหรับดิฉัน คือสุขทั้งใจจากการฟังและร้องเพลง Christmas carol และสุขทั้งกายจากการรับประทานมินซพายและมัลด์ไวน์อุ่น ๆ ในอากาศหนาว

อีกประสบการณ์หนึ่งที่น่าประทับสำหรับดิฉันในช่วงคริสต์มาสที่อังกฤษ คือจะมีคณะนักร้องประสานเสียงที่ร้องเพลง Christmas carol ที่ชื่อดังที่สุดคณะหนึ่งในอังกฤษ คือคณะนักร้องประสานเสียงของ King’s Chapel ของ King’s College ใน Cambridge ซึ่งจะร้องเพลง Christmas carol ในคืนวันคริสต์มาสอีฟ คือ 24 ธันวาคม และมีการถ่ายทอดสดโดยสถานี BBC ถ้าใครอยากจะเข้าฟังการแสดงสดใน King’s Chapel จะต้องมาเข้าคิวกันตั้งแต่เช้ามืดของวันนั้น นั่ง ยืนรับประทานอาหารท่ามกลางลมหนาวกันทั้งวันกว่าจะได้เริ่มเข้าชมเข้าฟังการร้องประสานเสียงในตอนค่ำ ดิฉันเคยได้มีโอกาสครั้งหนึ่ง ขอรับรองว่าคุ้มค่ามาก ฟังจากโทรทัศน์ ซีดี หรือ YouTube ก็ไม่ไพเราะเท่าแน่นอน

อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเทศกาลคริสต์มาสในอังกฤษ คือพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 จะกล่าวสุนทรพจน์อวยพรในช่วงบ่ายของวันคริสต์มาส ถ่ายทอดสดทั่วประเทศโดย BBC เช่นกัน

อยากให้พูดถึงความสำคัญทางศาสนาของวันคริสต์มาส

การที่การฉลองวันคริสต์มาสไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะชาวคริสต์เท่านั้น ผู้ที่ไม่ใช่คริสตศาสนิกชนก็ฉลองวันคริสต์มาสเช่นกัน น่าจะบอกเราว่า พระเยซูเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในโลกเลยทีเดียว เพราะแม้แต่ผู้ที่ไม่เชื่อในพระองค์ก็ยังร่วมฉลองการประสูติของพระองค์ แม้การฉลองนั้นอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับพระเยซูโดยตรง

ชาวคริสต์เชื่อว่าพระเยซูเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในโลก จริง ๆ พระองค์เป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าซึ่งมีพระองค์เดียวแต่มี 3 ภาค ตามความเชื่อของโปรแตสแตนท์ คือพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ในขณะที่ชาวคาทอลิกจะเรียกว่าพระบิดา พระบุตร และพระจิต คือพระเยซูเป็นภาคหนึ่งของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าประทานให้ชาวโลก คือให้พระเยซูลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อไถ่บาปมนุษย์ทุกคนที่รับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือรอดจากสิ่งที่เรียกในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า “บึงไฟนรก” ซึ่งคนบาปทุกคนต้องไป เรียกได้ว่าเป็นวันคริสต์มาสเป็นวันแห่งการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งพึงจะได้รับก็คือพระเยซู

ตัวอย่างกิจกรรมที่สะท้อนความสำคัญของวันคริสต์มาสมีอะไรบ้าง

ปัจจุบันนี้เรียกได้ว่าคริสต์มาสเป็นเทศกาลที่ผ่านการทำให้เป็นธุรกิจมากที่สุดเทศกาลหนึ่งทั่วโลก ประกอบกับความเป็นวัตถุนิยมของสังคมปัจจุบันโดยทั่วไป สิ่งนี้เป็นจริงในประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพฯ เช่นกัน เราจะเห็นว่ามีการตั้งต้นคริสต์มาสขนาดยักษ์หน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ ประดับประดาไฟมากมาย บางโรงแรมมีการจัด Christmas dinner หรูหรา หรือการให้ของขวัญบางครั้งก็อาจจะเน้นว่าต้องราคาสูง สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับความสำคัญอย่างแท้จริงของวันคริสต์มาส

ลองนึกดูว่าการฉลองวันเกิดโดยที่เจ้าของวันเกิดไม่ได้อยู่ด้วยเป็นเรื่องแปลกไหม การจะสะท้อนความหมายที่แท้จริงของคริสต์มาส ซึ่งเป็นวันแห่งการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคริสเตียนอาจทำได้โดย “การให้” ไม่ว่าจะเป็นการให้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงการเยี่ยมเยียนผู้ป่วยไม่มีญาติในโรงพยาบาล หรือให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม สิ่งเหล่านี้น่าจะทำได้ทั้งผู้ที่ติดตามพระเยซูและผู้ที่ยังไม่ได้ติดตามพระเยซู ถือเป็นการฉลองวันเกิดแบบที่เจ้าของวันเกิดอยู่ด้วย และที่เราให้ นั่นก็เพราะพระเจ้าให้เราก่อน ซึ่งเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่มนุษยชาติเคยได้รับ

Merry Christmas.

Tuesday, January 17, 2012

long time no blog

Can't believe that the last time I blogged was as long ago as Feb 2010, but I know it's true. Now that I'm no longer the EIL director, I hope to come here more often than once every two year. At least I can post what I wrote as assignments for my Bible school in these past two years.

Tuesday, April 26, 2011

มดเป็นอะไร

คิดมาตลอดว่าอาการวิงเวียนเป็นส่วนหนึ่งของโรคอีสุกอีใส แต่จนตุ่มแห้งหมดและเริ่มตกสะเก็ดแล้ว ก็ยังไม่หายวิงเวียน การวิงเวียนที่ว่านี้เป็นแบบตื่นมาก็เป็นเลย ลุกจากเตียง เดินลงมาข้างล่าง แล้วก็ทำอะไรต่อไม่ไหว ต้องนอนลงบนโซฟา ถ้าลืมตา บางครั้งจะเห็นบ้านหมุน ต้องหลับตาจนหลับไป จึงจะหาย มีบางครั้งที่ตื่นขึ้นมา ก็วิงเวียนอีก ถ้าวันไหนโชคดี จะนั่งกินข้าวเช้าได้ แล้วค่อยวิงเวียน บางวันจนกลางวัน ไม่เป็นอะไร ขับรถไปตลาด ซื้อกับข้าว แล้วก็จะเริ่มวิงเวียน เคยต้องนอนฟุบกับโต๊ะในฟูดคอร์ทของเทสโก้เพราะขับรถกลับไม่ไหว ถ้าใครเคยเมารถ ให้ลองนึกว่าเมารถที่ตัวเองขับจะเป็นอย่างไร ตอนไปหาหมอผิวหนังเพื่อรักษาแผลเป็น 100 จุดบนหน้าและอีก 900 จุดทั่วตัว ขากลับต้องแวะนอนพักที่บ้านแม่ครั้งหนึ่งและบ้านป้าอีกครั้งก่อนขับรถกลับบ้าน

วันพฤหัสบดีที่แล้วไปหาหมอหู เพราะน่าสงสัยแล้วว่า อาการวิงเวียนนี้มันอะไรกันแน่ หมอเขียนในใบรับรองแพทย์ว่า "เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ" แต่บอกว่าผมไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไรกันแน่ สิ่งที่เป็นที่เล่าให้หมอฟัง การได้ยิน 2 เสียง การเมารถ การวิงเวียนเวลาเดินซื้อของและเวลาขับรถ เหล่านี้เป็นอาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันซึ่งเกิดจากมีหินปูนมากเกินไปในหูชั้นใน และรวมไปถึงการหูอื้อที่หมอถามว่าเป็นมั้ย ก็เป็นบ่อยมากโดยเฉพาะเวลาสอนหนังสือ อย่างไรก็ตาม หมอคิดว่าอาจเป็นอะไรมากกว่านั้น อย่างการที่เพิ่งมาเป็นอีสุกอีใสตอนนี้ ก็ถือว่าแปลก แถมยังมีแผลเป็น (หมอใช้คำว่า lesion ซึ่งวิกิไทยแปลว่า "รอยโรค") มาก คนปกติเขาไม่เป็นกันขนาดนี้ หมอแนะนำให้ตรวจเลือดดูว่าเป็น SLE หรือโรคอื่นๆหรือเปล่า (เขียนชื่อโรคเป็นตัวย่อมาให้ทั้งหมด 2 บรรทัด) ถ้าไม่พบอะไร ให้ทำ MRI เพื่อดูว่าเส้นเลือดในสมองตีบมั้ย ส่วนในชีวิตทั่วไปก็อย่าขี่จักรยาน ปีนเขา เล่นกีฬาผาดโผน หรือทำอะไรที่ต้องอาศัยการทรงตัว แล้วก็กินยาที่หมอสั่งให้ ซึ่งกินแล้วไมวิงเวียน แต่รู้สึกสมองตื้อๆ แปลกๆ

ระหว่างคุยกับหมอ ก็นึกๆ และบอกหมอว่าจริงๆ ก็แปลกใจที่ไม่ได้หาหมอเพราะวิงเวียนมาตั้งนานแล้ว เท่าที่ทำคือเวลามีพยาบาลถามว่ามีโรคประจำตัวมั้ย จะตอบว่าเวียนศีรษะ ไม่เคยมีหมอสั่งยาอะไรให้ จริงๆ คือเวียนหัวบ่อยมาตั้งแต่เด็ก ช่วงป. 1-2 ไปนอนห้องพยาบาลเพราะเวียนหัวบ่อยๆ จนครูพยาบาลให้กินยาหอม เวลาลุกจาการนั่งหรือนอน มักจะหน้ามืด เคยหมดสติไปเลย 2 ครั้ง (ในงานเลี้ยงที่อังกฤษ เพื่อนพากลับบ้าน) โดยไม่รู้สาเหตุ  เป็นไมเกรน ไม่สบายทุกครั้ง จะอาเจียน ถ้านั่งรถโดยลืมกินดาร์มามีนก่อน จะเมารถมาก ลงจากรถแล้วจะเมาต่อเป็นช่วงๆ อีก 1 อาทิตย์ ในเวลาหลายสิบปีนี้ ไม่เคยคิดไปหาหมอ เพราะคิดว่า ก็วิงเวียน นอนพักก็หาย ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง

ตอนนี้ไม่ได้ไปทำงานมาเกือบเดือนหนึ่งแล้วตั้งแต่มีตุ่มสุกใสเม็ดแรก มีงานค้างอยู่เยอะมาก ทำงานที่บ้านก็ไม่ได้ เพราะนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ได้ไม่นาน (ที่เห็นเล่น FarmVille คือ Miawza เป็นคนเล่นนะ) โชคดีที่พี่เล็กเข้าใจ บอกว่า มดพักไปเลย ส่วน EIL ก็มีพี่ต้อยติ่ง มีแยม แล้วพี่เล็กและพี่มดก็กลับจากเยอรมันแล้ว (ซึ่งถ้าสบายดี ก็จะได้ไปมาด้วย) ก็ไม่คิดว่าต้องห่วงอะไร จริงๆ คิดอยากลาออกจากการเป็น Director ให้คนอื่นที่ทำงานได้เต็มที่มารับตำแหน่งดีกว่า แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การอยู่บ้านนานๆ โดยส่วนใหญ่นอนทั้งวัน ไม่สนุกหรอก

บ่ายวันเสาร์นี้ หมอผิวหนังนัดไปพบอีกที ตอนเช้ากะจะไปหารศ.พญ. เสาวรส ซึ่งเป็นอาจารย์หมอที่จุฬาฯ เชี่ยวชาญโรค "เวียนศีรษะ" และออกตรวจที่บำรุงราษฎร์วันเสาร์ ปรากฏว่าคิวเต็มหมด (เพื่อร่วมโรคเยอะ) นัดได้ 14 พ.ค. แล้วเวลาต้องตรวจอะไรแพงๆ อย่าง MRI จะชอให้หมอส่งไปทำที่ร.พ. จุฬาฯ และไปรักษาต่อที่นั่น เพราะกลัวว่ากว่าจะรู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ ก็หมดตัว ไม่มีเงินรักษาพอดี

มีพ่อของเพื่อนที่วิงเวียนบ่อยๆ เป็นปีๆ ลูกๆ ก็คิดว่าอาการคนแก่ธรรมดา เวลาผ่านไป ตอนนี้พ่อมีก้อนเนื้อใหญ่ในสมองจนรักษาอะไรไม่ได้ นอนนิ่งๆ อยู่อย่างเดียว มีแม่เพื่อนอีกคนวิงเวียนเหมือนกัน คิดว่าเป็นน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่นอนทั้งวันก็ไม่หายเวียน หมอจับตรวจ MRI ปรากฏว่าเส้นเลือดในสมองตีบตีบ ส่วนตัวเอง สักพักใหญ่ คงได้รู้ว่าเป็นอะไรแน่ ขอบคุณ Miawza ที่ดูแลเป็นอย่างดีและลางานเพื่อไปโรงพบาบาลเป็นเพื่อนด้วย

ตอนนี้อยากให้ทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่และไม่เคยเป็นอีสุกอีใส ไปหาหมอเพื่อฉีดวัคซีน และถ้ามีใครมีอาการอะไรบ่อยๆ ที่แม้จะคิดว่าไม่ร้ายแรง ลองปรึกษาหมอดู ก็น่าจะดีนะ

ผลตรวจเลือดและ MRI ปกติทุกอย่าง หมอบอกไม่เป็นโรคร้ายแน่ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าโรคดีๆ ที่ทำให้วิงเวียนนี้มันคืออะไร ก็รักษาตามอาการ คือให้ยาแก้วิงเวียน ไมเกรน ช่วยการไหลเวียนของโลหิตอะไรพวกนี้ แล้วอีกเดือนหนึ่งค่อยไปพบหมออีกที ขอบคุณทุกๆ คนนะคะ (May 7, 2011)