Tuesday, December 24, 2013

ความสำคัญของวันคริสต์มาส

สคริปท์ที่เขียนสำหรับรายการอักษรพาที ออกอากาศไปแล้วเมื่อเสาร์ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ฟังย้อนหลังได้จากเวบไซต์วิทยุจุฬาฯ (ฟังแล้ว รู้สึกอย่างไร ไม่ต้องมาบอกค่ะ อาย) แต่ถ้าอยากอ่าน เชิญเลยค่ะ (ติชมเนื้อหาได้ค่ะ)

ความสำคัญของวันคริสต์มาส

วันคริสต์มาสตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันหยุดราชการในหลาย ๆ ประเทศโดยเฉพาะประเทศทางตะวันตก คล้าย ๆ กับวันสงกรานต์ของเราซึ่งคือ 13 เมษายนในแง่ที่ว่าจะมีวันหยุดก่อนและหลังวันสงกรานต์ด้วย วันคริสต์มาสก็เช่นกัน บางประเทศเช่นเยอรมนี สาธารณรัฐเชค และออสเตรียจะหยุดตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคมแล้ว เรียกว่า Christmas Eve และสำหรับประเทศอังกฤษ แคนาดา และประเทศในเครือจักรภพ วันที่ 26 ธันวาคมเป็นวันหยุดราชการเช่นกัน เรียกว่า Boxing Day สรุปว่าจะมี 3 ติดกันเรียกว่า Christmas Eve, Christmas Day หรือวันคริสต์มาส และ Boxing Day

ทำอะไรใน วันนี้

เริ่มตั้งแต่ Christmas Eve สถานที่ราชการ หรือบริษัทต่าง ๆ อาจจะหยุดทั้งวัน หรือครึ่งวันเพื่อให้ผู้คนได้มีเวลาเตรียมตัวสำหรับวันคริสต์มาส ซื้อของขวัญ เตรียมอาหารตกแต่งบ้าน ในบางประเทศ ร้านค้าจะเปิดจนดึก เพื่อให้ผู้คนมีเวลาจับจ่ายซื้อของ ในบางประเทศ ร้านค้าจะปิดเร็วเพื่อให้ผู้คนได้มีเวลากับครอบครัว อาจจะเปิดของขวัญกันในวันนี้ ถ้าเป็นคริสเตียน ก็อาจไปร้องเพลงที่เรียกว่า Christmas carol กันตามบ้าน ห้างสรรพสินค้า หรือที่สาธารณะอื่น ๆ

สำหรับวันคริสต์มาส เนื่องจากเป็นวันหยุดผู้คนจึงมักใช้เวลาในวันนี้กับครอบครัว รับประทานอาหาร และแลกเปลี่ยนของขวัญกัน ในโบสถ์ของชาวคริสต์ จะมีการนมัสการพิเศษ อาจมีการจุดเทียน เรียกว่า candle-lit service

ส่วน Boxing Day ซึ่งบางแหล่งข้อมูลกล่าวว่า ที่เรียกว่า Boxing Day เพราะแต่เดิมเป็นวันที่นายจ้างจะให้ของขวัญแก่ลูกจ้าง ในปัจจุบัน BoxingDay จะเป็นวันที่ร้านรวงต่าง ๆ จะเริ่มการลดกระหน่ำหลังวันคริสต์มาส บางคนอาจไปเข้าคิวรอซื้อของตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเลยทีเดียว

วันคริสต์มาสสำคัญอย่างไร

วันคริสต์มาสเป็นวันสำคัญ คือจะเป็นวันเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ในเชิงประวัติศาสตร์แล้ว ที่จริงมีการสันนิษฐานกันว่าพระเยซูไม่ได้ประสูติในวันที่ 25 ธันวาคม ตามวิธีคำนวณต่าง ๆ กัน วันที่กล่าวกันว่าเป็นวันประสูติที่แท้จริงของพระเยซูมีวันที่ 28 มีนาคม วันที่ 11 กันยายน หรือ 18 พฤศจิกายน ในช่วงก่อนคริสตกาล 2–7 ปี พระคริสตธรรมคัมภีร์หรือที่รู้จักกันในชื่อพระคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บันทึกไว้ว่าวันประสูติของพระเยซูตรงกับวันอะไร แต่บันทึกไว้ว่าพระองค์ประสูติในคอกสัตว์ เนื่องจากในช่วงนั้นจักรพรรดิออกัสตัสรับสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทำให้โยเซฟกับกับมารีย์ต้องเดินทางจากที่อยู่ในเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี ไปที่เมืองเบธเลเฮม แคว้นยูเดีย ซึ่งเป็นเมืองของเชื้อสายของโยเซฟ และเนื่องจากไม่มีที่ว่างในโรงแรม เมื่อมารีย์คลอดบุตรชายคือพระเยซูแล้ว ก็พันผ้าอ้อมและวางไว้ในรางหญ้า พระคัมภีร์ไบเบิลบันทึกไว้ว่า ในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่กลางทุ่ง เฝ้าฝูงแกะอยู่ในเวลากลางคืน จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าวันประสูติเป็นวันที่ 25 ธันวาคมจริง เพราะเป็นกลางฤดูหนาวอากาศน่าจะหนาวเย็นเกินไปที่จะอยู่กลางแจ้ง

แล้วทำไมเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซูในวันที่ 25 ธันวาคม

ในยุคก่อนคริสตกาล จะมีการฉลองในช่วงกลางฤดูหนาว เนื่องจากความหนาวหน็บที่สุดของฤดูหนาวได้ผ่านพ้นไปแล้วผู้คนจะตั้งตารอเวลาที่จะมีแสงอาทิตย์ให้เห็นมากขึ้น ในสแกนดิเนเวียหรือยุโรปเหนือ ซึ่งอากาศหนาวกว่าส่วนอื่น ๆ ในยุโรป เมื่อถึงเวลานั้น ผู้ชายในครอบครัว คือพ่อและลูกชาย จะช่วยกันตัดต้นไม้มาทำเป็นขอนไม้เพื่อใช้ก่อไฟ มีการล้มวัวเพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องหาอาหารให้วัวในช่วงฤดูหนาวที่เหลือ ไวน์และเบียร์ที่หมักไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้ที่พอดีและจะกินเลี้ยงกันจนไฟจากขอนไม้ที่ตัดมามอด ซึ่งอาจยาวนานถึง 12 วันกันเลยทีเดียว เดี๋ยวนี้ก็ยังมีการก่อไฟโดยใช้ขอนไม้ที่เรียกว่า Yulelog ในเตาผิง เป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส และเค้กขอนไม้ที่รับประทานกันในช่วงคริสต์มาสก็มีที่มาจากสิ่งนี้นี่เอง

ส่วนในโรมซึ่งอากาศไม่หนาวเท่ายุโรปเหนือ ชาวโรมนอกศาสนาก็มีเทศกาลฉลองพระเสาร์ซึ่งเป็นเทพแห่งเกษตรกรรม มีการดื่มกินกันอย่างมากมายยาวนานเช่นกันในช่วงวันที่ 17–25 ธันวาคม จนในศตวรรษที่ 4 คริสเตียนเริ่มเข้าร่วมฉลองเทศกาลนี้ด้วย เนื่องจากหวังจะให้ชาวโรมนอกศาสนาเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียนจึงประกาศอย่างเป็นทางการว่า วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันประสูติของพระเยซู เรียกว่าวันคริสต์มาส ผู้ประกาศนั้น บางตำราก็ว่าเป็นจักรพรรดิคอนสแตนติน บางตำราก็ว่าเป็นสันตปาปาจูเลียสที่ 1 ส่วนปีที่ประกาศ ตำราต่างเล่มก็เขียนไว้ไม่ตรงกันอีกเช่นกัน บ้างว่า ค.ศ. 324 บ้างว่า ค.ศ. 336 ซึ่งอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 4

สรุปว่าการเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูมีในวันที่ 25 ธันวาคม แม้ว่าจะไม่ใช่วันประสูติของพระเยซูจริง ๆ เนื่องจากศาสนจักรต้องการร่วมมีส่วนในเทศกาลฉลองพระเสาร์ของชาวโรมนอกศาสนาซึ่งมีในช่วงวันที่ 17–25 ธันวาคม  เป็นความพยายามที่จะให้ชาวโรมนอกศาสนาเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียน

ในอังกฤษและอเมริกาเริ่มฉลองวันคริสต์มาสตอนไหน

ปลายศตวรรษที่ จึงจะเริ่มมีการเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูในอังกฤษจนถึงศตวรรษที่ 17 มีการปฏิรูปศาสนาโดยมาร์ติน ลูเธอร์ นักบวชคาทอลิกชาวเยอรมัน และมีการปฏิวัติในอังกฤษ สองเหตุการณ์นี้ทำให้การฉลองวันคริสต์มาสต่างออกไป เมื่อโอลิเวอร์ ครอมเวลชนะสงครามกลางเมืองในอังกฤษ ก็ประกาศยกเลิกการฉลองวันคริสต์มาสในปี ค.ศ. 1649 จนเมื่อพระเจ้าชาร์ลส์ที่ กลับมาครองราชย์ในปี ค.ศ. 1660 ถึงเริ่มมีการฉลองคริสต์มาสอีกครั้งแต่การฉลองคริสต์มาสในลักษณะที่เป็นเหตุการณ์แห่งความรัก สันติสุขและความชื่นชมยินดี เพิ่งเริ่มขึ้นในทศวรรษปี 1820

ส่วนในอเมริกาเมื่อเทียบกับยุโรป นับว่าเริ่มมีการฉลองคริสต์มาสมาไม่นาน คือมีการประกาศว่าวันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันหยุดราชการ เมื่อวันที่26 มิถุนายน ค.ศ. 1870 นี้เอง

ในอังกฤษและอเมริกาฉลองคริสต์มาสอย่างไรบ้าง

เมื่อช่วงกลางอาทิตย์ มีการเผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันเกี่ยวกับการฉลองคริสต์มาสว่า ชาวอเมริกันมองว่าวันคริสต์มาสเป็นวันหยุดที่มีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมมากกว่าความสำคัญในเชิงศาสนา คือสิ่งที่ทำกันในวันนี้ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเช่นการร้องเพลง Christmas carol ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการประสูติของพระเยซู และสันติสุขและความชื่นชมยินดีอันเนื่องมาจากเหตุการณ์นี้ เพลงคริสต์มาสแครอลที่เป็นที่รู้จักกันดีเช่น Silent Night และ Joy to the World การร้องเพลงคริสต์มาสแครอลนี้มีคนทำน้อยมากไม่ถึง10 % ชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะใช้เวลากับครอบครัวหรือเพื่อนฝูงแลกของขวัญ ส่งการ์ดอวยพร พูดง่าย ๆ คือ ซานตาคลอสดูจะมีความสำคัญว่าพระเยซู จากการสำรวจ พบว่าครอบครัวที่มีลูกหรือไม่มีลูกก็ตาม ต่างก็รอคอยการมาของซานตาคลอส

ขอเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับซานตาคลอสสักนิด

ซานตาคลอสหรือเซนต์นิโคลัสเป็นชายสูงวัยใจดี ใส่ชุดสีแดง มีเคราสีขาวจะเดินทางด้วยเลื่อนที่ลากโดยกวางเรนเดียร์ เพื่อนำของขวัญมาให้เด็กดีทั่วโลกในคืนวันที่ 24 ธันวาคม เข้าไปในบ้านของเด็ก ๆ ทางปล่องไฟแล้วใส่ของขวัญ ซึ่งมักเป็นของเล่นที่ผลิตโดยเอลฟ์ ไว้ในถุงเท้าที่เด็ก ๆ เตรียมแขวนไว้ที่เตาผิง และเด็ก ๆ ก็จะเตรียมขนมกับเครื่องดื่มไว้ไห้ซานตาคลอสเช่นกัน เด็กอเมริกันมักจะวางคุกกี้ชอคโกแลตชิพ เด็กอังกฤษจะวางมินซพาย ส่วนเครื่องดื่มอาจเป็นนมหรือบรั่นดี

ขอเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับมินซพาย

มินซพายจะเป็นพายชิ้นเล็ก ๆไส้ผลไม้แห้งสับละเอียดใส่เครื่องเทศและเหล้าที่ได้จากการกลั่น ในอังกฤษจะมีคำกล่าวว่า Chirstmas would not be Christmas without mince pies. ซึ่งแปลได้ว่า คริสต์มาสจะไม่ใช่คริสต์มาสถ้าไม่มีมินซพาย

นอกจากรับประทานมินซพายที่อังกฤษจะฉลองอย่างไรอีกบ้าง

จากประสบการณ์ส่วนตัว เนื่องจากเคยศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ เห็นว่าการฉลองคริสต์มาสในอังกฤษเกี่ยวข้องกับศาสนามากกว่า เนื่องจากวันคริสต์มาสอยู่ในช่วงปิดเทอมนักเรียนกลับบ้านหมด โบสถ์ต่าง ๆ ในเมืองที่มีมหาวิทยาลัยจะเริ่มมีกิจกรรมฉลองคริสต์มาสตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม ที่มีกันแทบทุกโบสถ์คือการร้องเพลง Christmas carol ประสานเสียงในโบสถ์ หลังจากนั้นโบสถ์จะมีมินซพายและมัลด์ไวน์ซึ่งเป็นไวน์แดงต้มกับเครื่องเทศและลูกเกดเสริฟให้รับประทาน เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับอย่างหนึ่ง สำหรับดิฉัน คือสุขทั้งใจจากการฟังและร้องเพลง Christmas carol และสุขทั้งกายจากการรับประทานมินซพายและมัลด์ไวน์อุ่น ๆ ในอากาศหนาว

อีกประสบการณ์หนึ่งที่น่าประทับสำหรับดิฉันในช่วงคริสต์มาสที่อังกฤษ คือจะมีคณะนักร้องประสานเสียงที่ร้องเพลง Christmas carol ที่ชื่อดังที่สุดคณะหนึ่งในอังกฤษ คือคณะนักร้องประสานเสียงของ King’s Chapel ของ King’s College ใน Cambridge ซึ่งจะร้องเพลง Christmas carol ในคืนวันคริสต์มาสอีฟ คือ 24 ธันวาคม และมีการถ่ายทอดสดโดยสถานี BBC ถ้าใครอยากจะเข้าฟังการแสดงสดใน King’s Chapel จะต้องมาเข้าคิวกันตั้งแต่เช้ามืดของวันนั้น นั่ง ยืนรับประทานอาหารท่ามกลางลมหนาวกันทั้งวันกว่าจะได้เริ่มเข้าชมเข้าฟังการร้องประสานเสียงในตอนค่ำ ดิฉันเคยได้มีโอกาสครั้งหนึ่ง ขอรับรองว่าคุ้มค่ามาก ฟังจากโทรทัศน์ ซีดี หรือ YouTube ก็ไม่ไพเราะเท่าแน่นอน

อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเทศกาลคริสต์มาสในอังกฤษ คือพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 จะกล่าวสุนทรพจน์อวยพรในช่วงบ่ายของวันคริสต์มาส ถ่ายทอดสดทั่วประเทศโดย BBC เช่นกัน

อยากให้พูดถึงความสำคัญทางศาสนาของวันคริสต์มาส

การที่การฉลองวันคริสต์มาสไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะชาวคริสต์เท่านั้น ผู้ที่ไม่ใช่คริสตศาสนิกชนก็ฉลองวันคริสต์มาสเช่นกัน น่าจะบอกเราว่า พระเยซูเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในโลกเลยทีเดียว เพราะแม้แต่ผู้ที่ไม่เชื่อในพระองค์ก็ยังร่วมฉลองการประสูติของพระองค์ แม้การฉลองนั้นอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับพระเยซูโดยตรง

ชาวคริสต์เชื่อว่าพระเยซูเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในโลก จริง ๆ พระองค์เป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าซึ่งมีพระองค์เดียวแต่มี 3 ภาค ตามความเชื่อของโปรแตสแตนท์ คือพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ในขณะที่ชาวคาทอลิกจะเรียกว่าพระบิดา พระบุตร และพระจิต คือพระเยซูเป็นภาคหนึ่งของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าประทานให้ชาวโลก คือให้พระเยซูลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อไถ่บาปมนุษย์ทุกคนที่รับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือรอดจากสิ่งที่เรียกในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า “บึงไฟนรก” ซึ่งคนบาปทุกคนต้องไป เรียกได้ว่าเป็นวันคริสต์มาสเป็นวันแห่งการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งพึงจะได้รับก็คือพระเยซู

ตัวอย่างกิจกรรมที่สะท้อนความสำคัญของวันคริสต์มาสมีอะไรบ้าง

ปัจจุบันนี้เรียกได้ว่าคริสต์มาสเป็นเทศกาลที่ผ่านการทำให้เป็นธุรกิจมากที่สุดเทศกาลหนึ่งทั่วโลก ประกอบกับความเป็นวัตถุนิยมของสังคมปัจจุบันโดยทั่วไป สิ่งนี้เป็นจริงในประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพฯ เช่นกัน เราจะเห็นว่ามีการตั้งต้นคริสต์มาสขนาดยักษ์หน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ ประดับประดาไฟมากมาย บางโรงแรมมีการจัด Christmas dinner หรูหรา หรือการให้ของขวัญบางครั้งก็อาจจะเน้นว่าต้องราคาสูง สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับความสำคัญอย่างแท้จริงของวันคริสต์มาส

ลองนึกดูว่าการฉลองวันเกิดโดยที่เจ้าของวันเกิดไม่ได้อยู่ด้วยเป็นเรื่องแปลกไหม การจะสะท้อนความหมายที่แท้จริงของคริสต์มาส ซึ่งเป็นวันแห่งการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคริสเตียนอาจทำได้โดย “การให้” ไม่ว่าจะเป็นการให้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงการเยี่ยมเยียนผู้ป่วยไม่มีญาติในโรงพยาบาล หรือให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม สิ่งเหล่านี้น่าจะทำได้ทั้งผู้ที่ติดตามพระเยซูและผู้ที่ยังไม่ได้ติดตามพระเยซู ถือเป็นการฉลองวันเกิดแบบที่เจ้าของวันเกิดอยู่ด้วย และที่เราให้ นั่นก็เพราะพระเจ้าให้เราก่อน ซึ่งเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่มนุษยชาติเคยได้รับ

Merry Christmas.

No comments: