Friday, November 07, 2008

Testimony

Long time no blog.
This was written on 15 April 2008 to support my application to study in the Master of Christian Studies program at Bangkok Bible Seminary. I'm now in my second semester there.

เบื้องหลังชีวิตและการกลับใจ
เมื่อปี 1993 ตอนที่เรียนปริญญาโทวิชาประวัติศาสตร์ภาษาอังกฤษ อาจารย์นำคริสตธรรมคัมภีร์ตอนต่างๆ มาให้อ่านเพื่อเปรียบเทียบลักษณะภาษาที่ต่างไปในแต่ละยุค อาจารย์บอกด้วยว่าถ้าใครอ่านคริสตธรรมคัมภีร์ทั้งเล่ม จะทราบว่าการดำเนินชีวิตที่ดีจะต้องทำอย่างไร ข้าพเจ้าเริ่มอยากอ่านตั้งแต่ตอนนั้น แต่กว่าจะได้อ่านจริงๆ ก็ปี 2003 เมื่อไปเรียนปริญญาเอกที่อังกฤษ และได้ยินเพื่อนต่างชาติซึ่งเป็นผู้เชื่อถามกันว่าไปเข้ากลุ่มเรียนพระคัมภีร์ที่ไหนบ้าง ข้าพเจ้าจึงถามว่าไม่ได้เป็นผู้เชื่อแต่สนใจ ขอไปเรียนด้วยได้ไหม จึงได้เริ่มไปเรียนและเริ่มไปโบสถ์ วันหนึ่งเข้าใจว่าการดำเนินชีวิตที่ดีคือการติดตามพระเยซู แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าต้องการเปลี่ยนศาสนาเนื่องจากยังเข้าใจผิดว่านี่คือการเปลี่ยนศาสนา แต่ก็ยังไปกลุ่มเรียนพระคัมภีร์และไปโบสถ์อยู่ ต่อมาเริ่มตระหนักว่าการดำเนินชีวิตที่ดีหรือการเป็นคนดีไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ด้วยตนเอง เพราะไม่ว่าเราจะตั้งใจทำดีอย่างไร ก็จะมีเวลาที่เราทำผิดพลาด โกรธหรือหงุดหงิด โมโหกับคนอื่น ในช่วงนั้นสิ่งหนึ่งที่เชื่ออย่างยิ่งคือการที่ตนเองเป็นคนบาป จึงคิดได้ว่าเราต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า ตอนอยู่ที่อังกฤษเคยอธิษฐานรับเชื่อในปี 2005 แต่รู้ว่าในตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่ได้เรียนรู้ที่จะรักและวางใจพระเจ้าอย่างแท้จริง สาเหตุหนึ่งคือไม่ทราบว่าการไปโบสถ์ที่ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร จึงขอให้เรียนจบ กลับมากรุงเทพฯ และเริ่มไปโบสถ์ใกล้บ้านก่อน โบสถ์แรกที่ไปเป็นโบสถ์เล็กๆ ไม่นานก็คุ้นเคยกับสมาชิกที่นั่นและแน่ใจว่าการติดตามพระเยซูเป็นทางเดินเดียวที่ถูกต้อง จึงอธิษฐานรับเชื่ออีกครั้งเมื่อเดือนเมษายน 2007

หลังจากการกลับใจ ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ข้าพเจ้ากล่าวได้ว่าสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ที่สำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งคือชีวิตที่ปราศจากความเครียดและความกังวล เดิมข้าพเจ้าเป็นคนเครียดง่าย โดยเริ่มตั้งแต่เข้าทำงานสอนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนื่องจากจะตั้งใจสอนเต็มที่ จึงอยากให้นักเรียนตั้งใจเรียนเต็มที่เช่นกัน แต่ในช่วงนั้นไม่รู้สึกว่านักเรียนเป็นอย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อข้าพเจ้าไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษและกลับมาสอนในปลายปี 1998 ข้าพเจ้าจะเข้มงวดกับนักเรียนมาก นักเรียนทุกคนในชั้นจะต้องมีส่วนร่วมในการอภิปรายในห้อง เมื่อมีนักเรียนไม่ทำอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะดุและเครียด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลร้ายให้กับตัวเอง คือนอนไม่หลับ ล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล ในช่วงที่ไปเรียนปริญญาเอก ก็เครียดมากเช่นกัน กลัวจะเรียนไม่จบ เพราะแม้จะรู้จักพระเจ้าแล้วในตอนนั้น แต่ยังไม่มีความไว้วางใจ เมื่อกลับมาอยู่ประเทศไทยและมั่นใจที่จะเดินในทางของพระเยซูแล้ว กลับไม่รู้สึกเครียดหรือกังวลใดๆ อีก เมื่อเริ่มมาสอนที่จุฬาฯ หลังจากเรียนจบ ก็ทำงานอย่างมีความสุขมาก ทีแรกคิดว่าเป็นเพราะนักเรียนตั้งใจเรียนมากขึ้น แต่มีเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ทักว่าเป็นข้าพเจ้าเองที่เปลี่ยนไปมากกว่า จึงนึกถึงที่มีคนเคยพูดว่าการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากภายในโดยพระเจ้าจะเป็นสิ่งที่ผู้อื่นมองเห็นได้ เคยอ่านพบในหนังสือเล่มหนึ่งว่า ถ้าพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในชีวิตของเรา เราจะมีแต่ความสันติสุข ในตอนนี้ ถ้ามีอะไรทำให้ข้าพเจ้าไม่สบายใจ จะคิดถึงข้อความนี้และบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรที่เราต้องไม่สบายใจ เพราะพระเจ้าทรงดูแลอยู่

การถวายตัวรับใช้พระเจ้าและเป้าหมายในอนาคต
ข้าพเจ้าเริ่มอยากเรียนพระคัมภีร์เพื่อที่จะสามารถตอบคำถามคนในครอบครัวและเพื่อนๆ ของข้าพเจ้าที่ส่วนมากยังไม่ได้เป็นผู้เชื่อซึ่งมักถามคำถามเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู พระคัมภีร์ และสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้ามีของประทานในการสอน ถ้าเป็นน้ำพระทัย ข้าพเจ้าก็อยากเป็นครูสอนพระ คัมภีร์ในอนาคตตด้วย

The English version to be posted soon.

(fluff)Vote for me!

(fluff)Friends - create, share and enjoy a world of fluffy fun!

Tuesday, January 08, 2008

now listening



หยุดฟังเพลงนี้ไม่ได้เลยค่ะ ห้ามถามว่าทำไม

Can't stop listening to this song; don't ask why.